นายกฯ ปธ.งานสัมมนา Networking Reception ย้ำไทยพร้อมขยายความร่วมมือทางศก.ภูมิภาค
14 พ.ย. 2566, 15:42
วันนี้ ( 13 พ.ย.66 ) เวลา 18.00 น. (ตามเวลาท้องถิ่นนครซานฟรานซิสโก ซึ่งช้ากว่าเวลาที่ไทย 15 ชั่วโมง) ณ โรงแรม The Ritz Carlton นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เข้าร่วมและกล่าวปาฐกถาเปิดงาน Networking Reception โดยมีผู้แทนภาคเอกชนไทยจาก 16 บริษัท คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) และบริษัทสหรัฐฯ จากกว่า 9 สาขา อาทิ ดิจิทัล อิเล็กทรอนิกส์ การเงิน และ ไบโอเทคโนโลยี เป็นต้น เข้าร่วมด้วย
เริ่มแรก นายกฯ กล่าวย้ำว่า “ประเทศไทยเปิดกว้าง และพร้อมเปิดรับภาคธุรกิจแล้ว” ด้วยเหตุนี้ การเดินทางเข้าร่วมประชุมเอเปคในครั้งนี้ จึงได้นำภาคเอกชนชั้นนำของไทยที่ต้องการพบปะกับภาคเอกชนสหรัฐฯ มาร่วมด้วยเพื่อได้มีโอกาสพบกับนักธุรกิจสหรัฐฯ และเชื่อว่ากิจกรรมนี้จะเปรียบเสมือนสะพานเชื่อมต่อเพื่อประโยชน์ของทั้งสองฝ่าย ไทยและสหรัฐฯ เป็นพันธมิตรและหุ้นส่วนที่ใกล้ชิดมาอย่างยาวนานในหลายระดับและหลายมิติ ทั้งความสัมพันธ์ทางการทูต เศรษฐกิจ และการลงทุน โดยเฉพาะมิติทางเศรษฐกิจ ซึ่งในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ การค้าทวิภาคีมีมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยสหรัฐฯ ถือเป็นคู่ค้ารายใหญ่อันดับสองของไทย ขณะที่ด้านการลงทุน จากข้อมูลของ BOI แสดงให้เห็นว่า ในปี 2565 ที่ผ่านมา สหรัฐฯ เป็นนักลงทุนรายใหญ่อันดับสามของไทย ด้วยเงินลงทุนรวม 1.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเมื่อต้นปีนี้ ไทยได้รับคณะผู้แทนจาก Trade Winds ซึ่งเป็นภารกิจการค้าที่ใหญ่ที่สุดของรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งมีบริษัทในสหรัฐฯ มากกว่า 100 แห่งที่เป็นตัวแทนของ 20 ภาคส่วน สถิติเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความสัมพันธ์ทางการค้าและการลงทุนที่แข็งแกร่งระหว่างสองประเทศ
โดยนายกฯ ได้ใช้โอกาสนี้ กล่าวย้ำว่า ไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่ปลอดภัยสำหรับการลงทุนและมีศักยภาพการเติบโตสูงมากในเอเชีย ด้วยแรงขับเคลื่อนจากเศรษฐกิจมหภาคที่ดี เสถียรภาพทางการเมือง การบริหารธุรกิจแบบมืออาชีพ และสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อการลงทุน ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายสำคัญ ศักยภาพ และโอกาสสำหรับภาคเอกชนสหรัฐฯ ดังนี้
ด้านการลงทุนที่จะผลักดันประเทศสู่ “เศรษฐกิจใหม่ (New Economy)” ที่มีนวัตกรรม ความสามารถในการแข่งขัน และครอบคลุม ซึ่งใน 4 ปีข้างหน้า ประเทศไทยมุ่งส่งเสริมการลงทุนใน 5 อุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ ได้แก่ (1) BCG (2) อุตสาหกรรมยานยนต์ (3) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ (4) อุตสาหกรรมดิจิทัลและอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และ (5) สำนักงานใหญ่ประจำภูมิภาค ซึ่งนายกฯ เชื่อมั่นว่า เป้าหมายเหล่านี้จะสร้างโอกาสให้นักลงทุนสหรัฐฯ ในการใช้ไทยเป็นฐานการผลิตและบริการสำหรับการดำเนินธุรกิจในเอเชีย และทั่วโลก
ด้านความยั่งยืน รัฐบาลมุ่งมั่นสร้างการเติบโตสีเขียวและยั่งยืน เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutrality) ในปี 2050 และการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ในปี 2065 ซึ่งความพยายามดังกล่าวสอดคล้องกับปฏิญญากรุงเทพฯ ว่าด้วยเศรษฐกิจ BCG ที่ผู้นำเอเปคได้รับรองเมื่อปี 2022 กับธีมการประชุมเอเปคของสหรัฐในปีนี้ “การสร้างอนาคตที่ยืดหยุ่นและยั่งยืนสำหรับทุกคน” (Creating a Resilient and Sustainable Future for All)
ด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ จุดแข็งของไทยคือการเป็นผู้ผลิตยานยนต์รายใหญ่ในอาเซียน และใหญ่เป็นอันดับ 10 ของโลก ซึ่งจากพื้นฐานที่มั่นคงนี้ ไทยมุ่งมั่นที่จะฐานการผลิตในภูมิภาคสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ด้วยเป้าหมาย the 30@30 เพื่อผลิตรถยนต์ไร้มลพิษ (Zero Emission Vehicles : ZEVs) อย่างน้อย 30% ของการผลิตยานยนต์ทั้งหมดภายในปี 2573 (ค.ศ. 2030) เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา คณะกรรมการ EV แห่งชาติได้อนุมัติมาตรการส่งเสริม EV 3.5 (ปี 2024-2027) เพื่อส่งเสริมการลงทุนในระบบแวดล้อมสำหรับอุตสาหกรรม EV ทั้งระบบ ทั้งนี้ นโยบาย EV ของไทยดึงดูดการลงทุนเกือบ 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในการผลิตชิ้นส่วนและส่วนประกอบและสถานีชาร์จ ไทยเป็นประเทศที่ใช้รถ EV สูงที่สุดในอาเซียน โดยมีจำนวน BEV ที่จดทะเบียนในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2566 ที่ประมาณ 68,000 คัน
ทั้งนี้ รัฐบาลตระหนักดีถึงความสำคัญของห่วงโซ่อิเล็กทรอนิกส์ที่มีความยืดหยุ่น เพื่อสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมใหม่ ๆ จึงเป็นเหตุผลให้ไทยยังคงรักษาสภาพแวดล้อมการลงทุนที่เอื้ออำนวยและปราศจากความเสี่ยง พร้อมด้วยอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่ง โครงสร้างพื้นฐานที่ได้รับการพัฒนาอย่างดี และแรงงานที่มีทักษะสูง รัฐบาลไทยได้ส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลและความสามารถทางดิจิทัลอีกด้วย
นอกจากนี้ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลภายใต้ 10,000 บาท (285 ดอลลาร์) โครงการ Digital Wallet จะวางรากฐาน สําหรับระบบการชําระเงิน blockchain ทั่วประเทศและเปิดโอกาสรับการลงทุนจากต่างประเทศใน FinTech
ประเทศไทยได้จัดตั้ง HQ Biz Portal เป็นศูนย์บริการครบวงจร One-stop-service เพื่ออำนวยความสะดวก ดูแลการทำงานให้บริษัทที่ต้องการจัดตั้งสํานักงานใหญ่ประจําภูมิภาคในประเทศไทย รวมทั้ง รัฐบาลได้ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ Mega Projects ปรับปรุงความเชื่อมโยงด้านโลจิสติกส์ในภูมิภาคของประเทศ เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และนวัตกรรมเพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนของเราไปสู่เศรษฐกิจใหม่และเพื่อให้มั่นใจถึงความยืดหยุ่นทางธุรกิจ
โดยในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึง Landbridge หนึ่งใน Mega Project มูลค่า 2.8 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งจะช่วยให้ตระหนักถึงวิสัยทัศน์ของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค ทั้งการพาณิชย์และโลจิสติกส์
อีกจุดมุ่งหมายของรัฐบาลคือ เพิ่มความสะดวกในการทําธุรกิจในประเทศไทย (ease of doing business) "วีซ่าพํานักระยะยาว" “Long-Term Resident Visa” อํานวยความสะดวกให้นักลงทุนต่างชาติพักอาศัยและทํางานได้สะดวกยิ่งขึ้น
โดยในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีย้ำถึงแนวทางการทำงานที่เคยให้ไว้เมื่อเข้าร่วมการประชุม UNGA ที่ นิวยอร์ก ว่า “what should have been done --- I will get it done” รัฐบาลมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ ในการสร้างธุรกิจ และโอกาสการลงทุนใหม่ๆ พร้อมกับบรรยากาศการลงทุนที่เอื้ออํานวย โดยพร้อมจะรับฟังความคิดเห็นของภาคเอกชนเพื่อสนับสนุนให้ภาคเอกชนประสบความสำเร็จในการลงทุนและทำธุรกิจในประเทศไทย