วันนี้ (11 ธ.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีนายอ้วย กาประดิษฐ์ อายุ 80 ปีและนายปรีดา กาประดิษฐ์ อายุ 53 ปี ชาวบ้านบ้านโพนงาม หมู่ 14 ต.โพนงาม อ.หนองหาน จ.อุดรธานี เคยขึ้นป้ายไวนิลขนาดใหญ่ติดรถแห่ไปรอบบ้าน มีข้อความว่า ขอขอบคุณ ตำรวจหนองหาน อัยการ ศาลจ.อุดรธานี ที่ตัดสินจำคุกลูกทรพีเป็นเวลา 33 ปีและ 25 ปี ข้อหาทรพี เนรคุณ กรรมติดจรวด ไม่ต้องรอชาติหน้า ลงชื่อนายอ้วย”  ซึ่งช่วงนั้นทำให้ชาวบ้านงงไปตามๆ กัน เหตุเกิดเมื่อประมาณปลายเดือน ก.พ.66 ที่ผ่านมา ส่วนมูลเหตุเนื่องมาจากทะเลาะกันระหว่างพี่น้องและพ่อเรื่องการแบ่งที่ดินมูลมรดกที่มีอยู่ประมาณ 20 ไร่ จนเกิดมีเรื่องมีราวตามคลิปที่เห็นลูกชายของนายอ้วย กาประดิษฐ์ คือนายบรรเลงและนายบุญจันทร์ บุกเข้ามาในบ้านของนายอ้วย ผู้เป็นพ่อและมีเสียงท้าทายชกต่อยและยิงหนังสติ๊กใส่กัน ในคลิปจะได้ยินเสียงชกต่อยกันและตะลุมบอนกันจนได้รับบาดเจ็บกันไปทั้งสองฝ่าย ต่อมานายอ้วยและนายปรีดาลูกชายที่อยู่ฝั่งพ่อได้ไปแจ้งความที่สภ.หนองหาน เพื่อดำเนินคดีกับลูกชายทั้ง 2 คนคือนายบรรเลงและนายบุญจันทร์ในข้อหาพยายามฆ่าบุพการีและทำร้ายร่างกาย จนเป็นที่มาของการขึ้นป้ายดังกล่าว และทางนายอ้วยประกาศตัดพ่อตัดลูกชายทั้ง 3 คน เหลือไว้แต่เพียงนายปรีดาคนเดียวที่อยู่ฝั่งพ่อ

ล่าสุดปรากฏว่าเรื่องราวของครอบครัวนี้ยังไม่จบ เมื่อนายอ้วย และนางปั่น พ่อและแม่ของนายปรีดาได้เสียชีวิตอย่างกะทันหันในเวลาไล่เลี่ยกัน โดยนางปั่น เสียชีวิตเมื่อวันที่ 23 พ.ย.66 เนื่องจากโรคชรา ส่วนนายอ้วยเสียชีวิตเมื่อวันที่ 8 ธ.ค.66 เพราะตรอมใจตายที่ต้องมาเสียภรรยา ต่อมานายปรีดาได้ไปทำเรื่องขอเงินฌาปนกิจศพหมู่บ้านจากผู้ใหญ่บ้าน แต่ปรากฏว่าไม่ได้รับเงินมางานศพพ่อและแม่ จนต้องเอาศพไปฝังที่สุสานบ้านปากดง และร้องขอความเป็นธรรมกับสื่อมวลชน

โดยวันนี้ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบกับนายปรีดา โดยเจ้าตัวกล่าวทั้งน้ำตาว่า แม่และพ่อของผมมาเสียชีวิตในเวลาไล่เลี่ยกัน ผมก็ไม่มีเงิน แต่จำได้ว่ามีเงินฌาปนกิจศพในหมู่บ้าน จำนวน 45,000 บาท ก็ให้ญาติไปทำเรื่องขอจากผู้ใหญ่บ้าน แต่ปรากฏว่าผู้ใหญ่บ้านไม่ให้ พอแม่ตายไปแล้วห่างกันเพียง 15 วันพ่อก็มาตายอีก ยิ่งเสียใจไปขอเงินฌาปนกิจของหมู่บ้านเพื่อมาจัดงานศพพ่ออีกศพก็ไม่ได้อีก ผมไม่รู้จะทำอย่างไร จึงนำศพพ่อและแม่ไปฝังที่สุสานบ้านปากดง เพราะไม่มีเงินจัดงานศพ ซึ่งจริงๆ แล้วประเพณีในหมู่บ้านต้องฌาปนกิจศพโดยการเผา ที่ออกมาเรียกร้องไม่ได้เรียกร้องเงินฌาปนกิจศพพ่อและแม่ตอนนี้ผมไม่เอาแล้วเพราะผมขายรถยนต์คันเก่า และขายวัวยกคอกได้เงินมาแล้วแสนกว่าบาท แต่ที่อยากเรียกร้องคือ อยากให้ผู้ใหญ่บ้านประกาศเสียงตามสายว่าพ่อและแม่ผมตายแล้ว ชาวบ้านจะได้รับรู้ ส่วนเงินฌาปนกิจหมู่บ้านผมไม่เอาแล้วจริงๆ ขอให้ผมได้รับความเป็นธรรมด้วยเพื่อพ่อและแม่จะได้ตายตาหลับ ส่วนเรื่องพ่อผิดใจกับน้องชายสองคนจนต้องติดคุกติดตะรางพ่อได้ฝากไว้ก่อนตาย บอกว่า เรื่องราวที่ผ่านมาขอให้จบ อยากให้พี่น้องมารักกันเหมือนเดิม ส่วนเรื่องที่เดิน 20 ไร่ก็พร้อมจะแบ่งให้ แต่เรื่องคดีความทางกฎหมายก็ว่ากันไป ผมลืมหมดแล้วเรื่องพี่น้องจะฆ่าจะแกงกัน ตอนนี้อยากให้มารักใคร่ปรองดองกันเหมือนเดิมอย่างที่พ่อบอกไว้ก่อนตาย นายปรีดาพูดไปน้ำตาไหลไป

ต่อมาผุ้สื่อข่าวเดินทางไปพบกับผู้ใหญ่บ้านทั้ง 3 หมู่บ้าน คือนายบุญมา ดวงพรหม ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 20,นายสมบูรณ์ ศรีหาโคตร ผู้ใหญ่บ้านหมุ่ 14 และนายสมบูรณ์ สินชื่น ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 2 บ้านโพนงาม พร้อมกันเปิดเผยเรื่องราวของเงินฌาปนกิจศพหมู่บ้านที่นายปรีดาอ้างว่าไม่ได้ 

โดยนายบุญมา ดวงพรหม ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 20 ขอชี้แจงว่า เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่เราผู้ใหญ่บ้านจะถือเงินสด 40,000-50,000 บาทเอาไว้ในมือ หากมีคนตายในหมู่บ้านทางผู้ใหญ่บ้านจะประกาศว่ามีลูกบ้านคนไหนเสียชีวิต จากนั้นลูกบ้านก็จะเอาเงินไปร่วมทำบุญที่บ้านเจ้าภาพเอง ไม่เกี่ยวกับผู้ใหญ่บ้านถือเงินไว้เลย โดยบ้านโพนงามเป็นหมู่บ้านใหญ่ มี 3 หมู่บ้านรวมกันประมาณ 450 ครัวเรือน ก็จะได้เงินฌาปนกิจประมาณ 45,000 บาทต่อศพ แต่ที่นายปรีดาอ้างว่าไม่ได้เงิน เพราะเขาไม่จัดงานศพพ่อและแม่ที่บ้าน ซึ่งผิดธรรมเนียม แต่เอาศพไปที่สุสาน และไม่จัดงานศพที่บ้าน ทำให้ชาวบ้านไม่รู้จะนำเงินไปร่วมทำบุญได้อย่างไร แต่อย่างไรแล้วแม้จะเอาศพไปฝังหรือทำบุญให้พ่อแม่ทีหลังก็ยังได้เงินฌาปนกิจศพ ไม่จำเป็นในช่วงที่ศพเสียชีวิตใหม่ๆ ผ่านไปปีสองปีมาจัดงานทำบุญให้พ่อและแม่ ผุ้ใหญ่บ้านก็จะประกาศเสียงตามสายให้ ชาวบ้านก็ร่วมไปทำบุญแบบนี้ แบบนี้ก็ได้เงินฌาปนกิจศพเหมือนเดิม ส่วนที่นายปรีดาบอกว่าไม่ขอรับเงิน แต่อย่างไรแล้วชาวบ้านก็พร้อมใจกันไปร่วมทำบุญอยู่แล้วและได้รับเงินแน่นอน ผู้ใหญ่บ้านกล่าวชี้แจงเรื่องเงินฌาปนกิจศพหมู่บ้านในตอนท้าย