นายกฯ ยินดี ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ผ่านสภาในวาระแรก พร้อมส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพที่ทุกคนพึงได้รับอย่างเสมอภาค
22 ธ.ค. 2566, 08:57
นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยินดีที่ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ป.พ.พ.) (ฉบับที่ …) พ.ศ… หรือ ร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ผ่านวาระแรกจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยนายกฯ ได้โพสต์ข้อความผ่านทวิตเตอร์ (X) ว่า “ผมขอแสดงความยินดีกับพี่น้อง LGBTQIA+ ทุกท่านที่ พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียม ได้ผ่านการโหวตวาระที่หนึ่งด้วยคะแนนท่วมท้น วันนี้ ก้าวแรกของการเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นแล้วครับ“ ซึ่งการรับหลักการร่าง พ.ร.บ. ในครั้งนี้ ที่ประชุมสภาฯ ลงคะแนนเห็นด้วยถึง 369 เสียง โดยมีหลักการสำคัญคือ การรับรองการสมรสสำหรับบุคคลสองคนที่จะครอบคลุมบุคคลทุกเพศ จากเดิมที่อนุญาตให้แต่เฉพาะชาย - หญิง จดทะเบียนสมรสได้เท่านั้น
โดยในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมารัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีการประชุมร่วมกันอย่างต่อเนื่องในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายสมรสเท่าเทียม กฎหมายรับรองเพศสภาพ การเสนอตัวเป็นเจ้าภาพ Bangkok World Pride และส่งเสริมงาน Pride Parade รวมทั้งการขยายสิทธิบัตรทองเพื่อคนข้ามเพศ อีกทั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรียังได้หารือและพบปะกับบุคคลสำคัญด้าน LGBTQIA+ และสมาชิกประธานผู้บริหารของ InterPride ซึ่งพร้อมเสนอให้กรุงเทพมหานครเป็นเจ้าภาพการจัดงาน World Pride Event ในปี 2028 อีกด้วย
“รัฐบาลคำนึงถึงการสร้างความเท่าเทียมในสังคมเป็นหลักสำคัญ โดยเชื่อมั่นว่า ประชาชนทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพที่พึงได้รับอย่างเสมอภาค ทุกเพศสภาพ เพศวิถี มีคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียมกัน การลงมติผ่านร่าง พ.ร.บ. สมรสเท่าเทียมในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวแรกครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ และสะท้อนให้เห็นถึงความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งรัฐบาล พรรคร่วมรัฐบาล พรรคฝ่ายค้าน และภาคประชาชน ให้เป็นกฎหมายเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง #LoveWins” นายชัย กล่าว
ทั้งนี้ ปัจจุบันมีการอนุญาตให้ใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมแล้ว ใน 34 ประเทศและดินแดนทั่วโลก (https://www.hrc.org/resources/marriage-equality-around-the-world) ซึ่งเมื่อ พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมของไทยมีผลบังคับใช้ จะส่งผลให้ประเทศไทยเป็นลำดับที่ 35 ของโลก และเป็นแห่งที่ 3 ในเอเชีย ต่อจาก ไต้หวันและเนปาล ที่อนุญาตให้ใช้กฎหมายดังกล่าวได้