19 ม.ค. นายโกมล พรมเพ็ง รองอธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน และในฐานะโฆษก เปิดเผยถึงกรณีมีเพจเฟซบุ๊ก โพสต์รูปภาพเยาวชน 1 ในกลุ่มวัยรุ่น 5 ราย คดีรุมอุ้มฆ่า น.ส.บัวผัน หรือป้ากบ อายุ 47 ปี ในอิริยาบถนั่งกินดื่มอยู่ที่ทางเท้าหน้าร้านแห่งหนึ่ง จนโลกโซเชียลมีการวิพากษ์วิจารณ์ตั้งข้อสังเกตว่าถูกคุมตัวอยู่ในสถานพินิจฯ หรือไม่ ว่า เด็กทั้ง 5 ราย ยังอยู่ในการควบคุมของสถานพินิจฯ โดยวานนี้ (18 ม.ค.) ได้มีการส่งตัวเยาวชน 3 ราย ประกอบด้วย ด.ช.แบงค์ อายุ 13 ปี ด.ช.โก๊ะ อายุ 14 ปี และ ด.ช.บิ๊ก อายุ 16 ปี ไปควบคุมไว้ที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดจันทบุรี โดยยังอยู่ระหว่างการกักโรคโควิด-19 ส่วนสาเหตุที่ย้ายจากสถานพินิจฯ สระแก้ว นั้น เพราะสถานพินิจฯ สระแก้ว เป็นสถานที่ควบคุมชั่วคราว มีลักษณะเป็นห้องแถว ไม่เหมาะสมกับการดูแลเด็กระยะยาว

นายโกมล กล่าวอีกว่า ส่วนอีก 2 ราย ที่เป็นลูกตำรวจ ได้แก่ ด.ช. อายุ 14 ปี (เชน) และ ด.ช อายุ 13 ปี (กัส) ในวันนี้จะมีการส่งตัวไปควบคุมไว้ที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดระยอง เพราะ พ.ต.ท.ประวุธ วงศ์สีนิล อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน มองว่าทั้งหมดต้องการแยกออกจากกัน เกรงว่าหากอยู่รวมกันจะเกิดปัญหาตามมา หรือเกิดการสมคบให้ถ้อยคำในบางประเด็นที่อาจทำให้เสียรูปคดีได้ เพราะทางเจ้าหน้าที่ต้องมีการตรวจสอบเป็นรายบุคคล

นายโกมล กล่าวว่า ขั้นตอนระหว่างนี้ทางเจ้าหน้าที่คุมประพฤติจังหวัดสระแก้ว จะต้องสืบเสาะข้อมูลจากเด็กผู้ก่อเหตุเป็นรายบุคคล และลงพื้นที่สอบปากคำผู้ปกครองเด็ก สอบปากคำบุคลากรคุณครูและทางโรงเรียนของเด็ก รวมถึงไปดูสภาพแวดล้อมที่เด็กทั้ง 5 ราย เคยอาศัย อีกทั้งยังต้องสืบย้อนหลังถึงพฤติกรรมของเด็กว่าเคยทำอะไรบ้าง มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนไม่เหมาะสมมานานแค่ไหน ซึ่งพยานแวดล้อมจะเป็นตัวบ่งชี้ได้ อย่างไรก็ตาม หากข้อมูลที่ได้รับยังไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ พนักงานคุมประพฤติก็จะต้องลงพื้นที่ไปยังสถานพินิจฯ ของเด็กทั้ง 5 รายอีกครั้ง จนกว่าจะได้รายละเอียดครบถ้วน

โฆษกกรมพินิจฯ กล่าวว่า ซึ่งเท่าที่ตนได้รับรายงานมา ทราบว่าเด็กทั้งหมดให้ความร่วมมือดี อยู่ในท่าทีสงบเรียบร้อย และไม่พบความก้าวร้าว แต่ในส่วนของความวิตกกังวล ตนมองว่าเด็กจะค่อนข้างวิตกในเรื่องของคดีมากกว่า เพราะตอนก่อเหตุอาจยังไม่ทันคิดถึงผลที่ตามมา แต่พอตอนนี้คงรับรู้โดยถ่องแท้แล้วว่าสร้างผลกระทบต่อตนเอง คนรอบข้างและครอบครัวขนาดไหน ซึ่งในเรื่องนี้ทางนักจิตวิทยาจะรับหน้าที่ในการวิเคราะห์พฤติกรรม และจะมีการประชุมร่วมกับนักสหวิชาชีพ นักสังคมสงเคราะห์ พยาบาล และคณะกรรมการ อย่างไรก็ตาม ยังไม่พบว่าเด็กมีอาการเซื่องซึมหรือเศร้าเสียใจฟูมฟายแต่อย่างใด แต่ไม่มีความร่าเริง ถือเป็นเรื่องปกติ อาจอยู่ในช่วงของการปรับตัว

โฆษกกรมพินิจฯ กล่าวด้วยว่า ส่วนในเรื่องของสุขภาพจิต จากการประเมินของเจ้าหน้าที่พบว่าไม่มีปัญหาอาการทางจิตเวช ทั้งยังไม่พบประวัติการรักษาในเรื่องสุขภาพจิต ส่วนประเด็นภาพที่เด็กๆ นั่งในร้านกระท่อมที่ถูกเผยแพร่ในโซเชียลทีเดียนั้น เป็นภาพเก่าก่อนเกิดเรื่องป้าบัวผัน ถือเป็นเฟคนิวส์ ส่วนในเรื่องของการยื่นประกันตัวชั่วคราวของเด็กทั้ง 5 ราย หากผู้ปกครองจะขอประกันตัวจะต้องยื่นต่อศาลเยาวชนฯ แต่เชื่อว่าคงไม่มีการยื่นขอประกัน เพราะกระแสสังคมค่อนข้างแรง และหากจะยื่นขอประกันตัว ตนมองว่าศาลเยาวชนฯ จะใช้ดุลพินิจไม่อนุญาต เพราะท่านอาจมองว่าให้เด็กอยู่ในสถานพินิจฯ สังคมจะปลอดภัยกว่า ซึ่งขณะนี้ทางครอบครัวของเด็กทั้งหมด ยังไม่ได้มีการยื่นประกันตัวแต่อย่างใด

โฆษกกรมพินิจฯ กล่าวว่า ระหว่างเด็กทั้งหมดจะอยู่ในขั้นตอนการฝากขัง 1 ผัด คือ 12 วัน และพนักงานสอบสวนสามารถฝากขังได้ 4 ผัด และเมื่อครบ 4 ผัด พนักงานสอบสวนจะต้องสรุปสำนวนส่งฟ้องต่อพนักงานอัยการ แต่ในส่วนของเจ้าหน้าที่คุมประพฤติของกรมพินิจฯ จะต้องจัดทำรายงานข้อมูลของเด็กๆ ส่งให้พนักงานสอบสวนภายใน 23 วัน เพื่อให้พนักงานสอบสวนนำเอารายงานดังกล่าวไปแนบประกอบสำนวนส่งอัยการในการพิจารณาสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง

ทั้งนี้ โฆษกกรมพินิจฯ กล่าวปิดท้ายว่า จากพฤติกรรมของเด็กทั้ง 5 ราย และการสืบเสาะข้อมูลในส่วนของพื้นเพ (Background) ครอบครัวของเด็ก พบว่าไม่มีความสมบูรณ์ เช่น เด็ก 3 ราย ครอบครัวมีการหย่าร้าง ขณะที่เด็กอีก 2 ราย อยู่กับครอบครัว แต่ก็ไม่ปกติสมบูรณ์ บางรายไม่เคยหน้าพ่อหรือแม่ตั้งแต่กำเนิด เป็นต้น ตนจึงมองว่าปัจจัยหลักมาจากสถาบันครอบครัวที่มีความแตกแยกไม่สมบูรณ์ จึงส่งผลต่อเด็ก จึงอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้ามาวิเคราะห์จากสถิติเด็กที่เข้าสู่กระบวนการของกรมพินิจฯ จะพบได้ว่าสาเหตุหลักมาจากความสัมพันธ์ภายในครอบครัวทั้งสิ้น