เปิด ปิด การใช้งานคุกกี้ของ ทรูฮิต (Truehits Cookies)



บุกจับ ! เครือข่ายหลอกลงทุนซื้อหุ้นกู้ “CP ALL” พบเงินหมุนเวียนในระบบกว่า 1,500 ล้านบาท


3 ต.ค. 2567, 09:21



บุกจับ ! เครือข่ายหลอกลงทุนซื้อหุ้นกู้ “CP ALL” พบเงินหมุนเวียนในระบบกว่า 1,500 ล้านบาท




วันที่ 2 ตุลาคม 2567 ที่ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ร่วมกันจับกุมตัวผู้ต้องหา 5 ราย ฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน, ร่วมกันฟอกเงิน และร่วมกันเป็นอั้งยี่”

สืบเนื่องจาก เมื่อประมาณเดือน พ.ย.66 ผู้เสียหายพบกับเพจเฟสบุ๊ก ชื่อ “Brand Cp” โดยใช้โลโก้ของ “CP ALL” โดยในเพจเฟสบุ๊กดังกล่าว มีการโพสต์ภาพถ่าย ข่าวสาร และนำเสนอกิจกรรมต่างๆ นอกจากนั้นยังได้มีการโพสต์รูปภาพและข้อความประกาศเชิญชวนประชาชนทั่วไปที่พบเห็นในลักษณะชักชวนลงทุน และมีผลกำไรตอบแทน เมื่อผู้เสียหายได้เห็นรูปภาพและข้อความโฆษณาดังกล่าวก็หลงเชื่อโดยสนิทใจ ประกอบกับ บริษัทดังกล่าวเป็นบริษัทที่มั่นคงและน่าเชื่อถือ ผู้เสียหายจึงได้พูดคุยข้อความส่วนตัวกับแอดมินเพจดังกล่าวผ่านแอปพลิเคชันเมสเซนเจอร์ โดยแอดมินได้ส่งลิงก์บัญชีไลน์ให้กับผู้เสียหายอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลด้านการลงทุนและผู้ฝึกสอนให้ผู้เสียหายทำการเทรดหุ้นเก็งกำไร เมื่อผู้เสียหายพูดคุยไปได้ระยะหนึ่ง คนร้ายได้ส่งลิงค์เว็บไซต์ชื่อ “CP ALL” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่คนร้ายสร้างขึ้นมาเพื่อให้ผู้เสียหายสมัครสมาชิก โดยเมื่อสมัครสมาชิกและเข้าใช้งานแล้ว จะปรากฏยอดเงินที่ผู้เสียหายโอนเงินเข้าไปในระบบ และแสดงผลกำไรที่ได้จากการลงทุน ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินลงทุนไปยังบัญชีม้าที่คนร้ายได้เตรียมไว้ ประมาณ 16,000 บาท ในช่วงแรกของการลงทุนผู้เสียหายสามารถทำรายการถอนเงินลงทุนและกำไรจากการลงทุนได้ทั้งหมด จากนั้นคนร้ายชักชวนให้ผู้เสียหายลงทุนต่อเนื่องเพื่อสร้างผลกำไรที่มากขึ้นและกำหนดเงื่อนไขในการถอนเงิน ต้องทำการเทรดให้ครบตามกำหนด ผู้เสียหายได้โอนเงินลงทุนเข้าไปในระบบจำนวนมากขึ้น สุดท้ายไม่สามารถถอนเงินจากระบบได้ โดยคนร้ายอ้างว่าจะต้องมีการชำระเงินค่าภาษีก่อน ถึงจะสามารถทำรายการถอนเงินทั้งหมดได้ ผู้เสียหายจึงเชื่อว่าได้ถูกหลอกลวง และแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับกลุ่มคนร้าย



โดยจากการตรวจสอบกับระบบแจ้งความออนไลน์ พบผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินให้กับคนร้ายกลุ่มดังกล่าวกว่า 180 ราย มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 62 ล้านบาท จากการตรวจสอบพบว่าคนร้ายได้มีการยักย้ายถ่ายเทเงินที่ได้จากการกระทำความผิดเปลี่ยนเป็นเงินดิจิทัล (สกุล USDT) โดยพบเงินหมุนเวียนในกระเป๋าเงินดิจิทัลของกลุ่มคนร้ายกว่า 1,500 ล้านบาท

เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ร่วมกันทำการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว ประกอบด้วย กลุ่มบัญชีม้า, กลุ่มบัญชีคริปโตม้า, กลุ่มนายทุนและฟอกเงิน มีทั้งชาวไทย, กัมพูชา, เวียดนาม และจีน จำนวนหลายราย โดยต่อมาเมื่อวันที่ 16 ก.ย.67 ถึงวันที่ 1 ต.ค.67 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอท. พร้อมด้วย บก.ป. บูรณาการร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาชาวไทยได้ จำนวน 5 ราย ในพื้นที่ นครราชสีมา, ปราจีนบุรี, สระแก้ว และนราธิวาส


จากการสอบถามคำให้การเบื้องต้น ผู้ต้องหาทั้ง 5 ราย ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่ให้การยอมรับในข้อเท็จจริงว่า โดยผู้ต้องหา จำนวน 3 ราย ให้การสอดคล้องต้องกันว่าได้หางานทำผ่านโซลเชียลมีเดียและถูกหลอกพาข้ามฝั่งไปทำงานที่ปอยเปต ประเทศกัมพูชา ผ่านทางช่องทางธรรมชาติ จากนั้นนำตัวไปกักขังไว้ในสถานที่แห่งหนึ่งลักษณะคล้ายกับอพาร์ทเม้นท์ มีการยึดอุปกรณ์ติดต่อสื่อสารทั้งหมด จากนั้นบังคับให้เปิดบัญชีธนาคารและบัญชีแลกเปลี่ยนเหรียญดิจิทัล ถ้าไม่ทำตามคำสั่งก็จะถูกทำร้ายร่างกาย โดยในแต่ละวันจะมีเครือข่ายสมาชิกของแก๊งคอลเซ็นเตอร์มารับตัวไปยังที่ทำการของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ บังคับให้สแกนใบหน้าในการทำธุรกรรมทางการเงินตลอดวัน ระยะเวลาประมาณ 5-7 วัน (หรือจนกว่าบัญชีจะถูกอายัด) ได้รับค่าจ้างวันละ 1,000 บาท จากนั้นจะพากลุ่มผู้ต้องหาไปทิ้งไว้ที่บริเวณชายแดน เพื่อให้เดินทางกลับฝั่งไทยเองผ่านช่องทางธรรมชาติ

ส่วนผู้ต้องหาอีก 2 ราย ให้การว่าประมาณปลายปี 2566 ได้มีกลุ่มบุคคลไม่ทราบเป็นผู้ใด เดินทางมาที่หมู่บ้าน โดยอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่มาทำการสแกนใบหน้าและดำเนินการขอสิทธิเกี่ยวกับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยผู้ต้องหาถูกหลอกลวงเอาภาพถ่ายใบหน้าและบัตรประจำตัวประชาชนไปเปิดบัญชีแลกเปลี่ยนเหรียญดิจิทัลให้กับกลุ่มคนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ในส่วนผู้ต้องหากลุ่มนายทุนและฟอกเงินที่ได้ออกหมายจับไว้ และยังหลบหนีคดีอยู่ในต่างประเทศ จะได้ทำการประสานติดตามจับกุมตัวต่อไป






Recommend News






MOST POPULAR


























©2018 ONBNEWS. All rights reserved.