เปิด ปิด การใช้งานคุกกี้ของ ทรูฮิต (Truehits Cookies)



นายกรัฐมนตรี เร่งทุกหน่วยเดินหน้ามาตรการ SEAL STOP SAFE ปราบปรามยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง


29 พ.ค. 2568, 16:39



นายกรัฐมนตรี เร่งทุกหน่วยเดินหน้ามาตรการ SEAL STOP SAFE ปราบปรามยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง




นายกรัฐมนตรี เร่งทุกหน่วยเดินหน้ามาตรการ SEAL STOP SAFE ปราบปรามยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง ตามนโยบายสำคัญ มั่นใจรัฐบาลชุดนี้ จะจัดการให้เด็ดขาดเพื่อลูกหลานของเราห่างไกลยาเสพติด

วันนี้ (29 พ.ค. 68) ณ ห้องประชุมพรหมนอก ชั้น 2 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ถนนวิภาวดีรังสิต เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี  รับฟังผลสรุปผลการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามมาตรการ Seal Stop Safe ของรัฐบาลในรอบ 2 เดือน (เมษายน - พฤษภาคม 2568) โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พลตำรวจเอก กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พลตํารวจโท ภาณุรัตน์ หลักบุญ เลขาธิการ ป.ป.ส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
 
นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่านายกรัฐมนตรีเยี่ยมชมนิทรรศการผลการปฏิบัติการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และเยี่ยมชมจุดตรวจของกลาง พร้อมรับฟังรายงาน สรุปผลการสกัดกั้นและปราบปรามยาเสพติดของสำนักงานตำรวจแห่งชาติตามมาตรการ Seal Stop Safe ของรัฐบาล และรับชมวีดิทัศน์สรุปผลการปฏิบัติงาน
 
จากนั้น นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณทุกภาคส่วนสำหรับความร่วมมืออันดีตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา พร้อมกล่าวมอบนโยบาย ตอนหนึ่งว่า นับตั้งแต่ได้ดำเนินมาตรการ Seal Stop Safe ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ จนถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 3 เดือนครึ่ง เห็นได้ชัดว่าความร่วมมือจากทุกฝ่าย และการทำงานแบบบูรณาการระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ได้นำไปสู่ผลสำเร็จที่เป็นรูปธรรมสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน อย่างที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมได้กล่าวถึงการปราบปรามยาเสพติดอย่างเข้มข้นในยุครัฐบาลไทยรักไทยจนสามารถควบคุมการผลิตภายในประเทศได้สำเร็จ ซึ่งในปัจจุบันสถานการณ์ได้เปลี่ยนแปลงไป การผลิตยาเสพติดได้ย้ายฐานการผลิตไปยังต่างประเทศมากขึ้น และมีกำลังการผลิตที่สูงขึ้นด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทำให้การลักลอบนำเข้ายาเสพติดมีความซับซ้อนและขยายวงกว้างมากขึ้น แต่การจับกุมในช่วงหลังนี้มีความต่อเนื่องมากขึ้น ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ร่วมมือกันจนสามารถจับกุม ยึดยาเสพติดได้เป็นจำนวนมาก ถือเป็นความสำเร็จที่น่าชื่นชม ทั้งนี้ ในส่วนของรัฐบาลจะเดินหน้าดำเนินการปราบปรามยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประเทศไทยสามารถพัฒนาและก้าวหน้าได้อย่างมั่นคง
 
นายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า ยาเสพติดถือเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ เป็นภัยร้ายที่ทำลายลูกหลานของเรา ทำลายครอบครัว ก่อให้เกิดความสูญเสียในบางครอบครัว อย่างไรก็ตามพี่น้องประชาชนต้องเปิดใจและให้โอกาสกับผู้ที่พร้อมจะกลับตัวกลับใจ เพราะทุกคนสมควรได้รับโอกาสในการเริ่มต้นใหม่ สำหรับรัฐบาลพร้อมจะสนับสนุนแผนการฟื้นฟู และนำพาผู้ที่เคยหลงผิดกลับคืนสู่สังคมอย่างมีศักดิ์ศรี
 
“ขอบคุณผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด และเจ้าหน้าที่ทุกคน ที่ปฏิบัติหน้าที่อย่างทุ่มเท ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ด้วยการวางแผนและดำเนินการอย่างเข้มงวดและมีประสิทธิภาพ รวมทั้ง ขอให้พี่น้องประชาชนทุกคนร่วมเป็นกำลังใจให้กับเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการปฏิบัติหน้าที่ ขอเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ทุกคนมีความเข้มแข็ง และเดินหน้าทำงานเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมอย่างมั่นคงต่อไป ทั้งนี้ รัฐบาลพร้อมจะสนับสนุนการดำเนินงานในทุกมิติ ทั้งด้านเทคโนโลยี งบประมาณ และมาตรการทางกฎหมาย เพื่อให้การปราบปรามยาเสพติดบรรลุเป้าหมายอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน” นายกรัฐมนตรี ระบุ
 
สำหรับตลอดระยะเวลากว่า 2 เดือน ที่ผ่านมา (1 เม.ย. - ปัจจุบัน) หลังจากการเปิดปฏิบัติการ Seal Stop Safe กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด ได้เดินหน้า ปิดล้อม บุกจับ ขยายผลยึดทรัพย์ เครือข่ายรายสำคัญได้กว่า 31 คดี ผู้ต้องหา 34 คน ยึดยาบ้า 29.93 ล้านเม็ด เฮโรอีน 126 กิโลกรัม ไอซ์และคีตามีน 4,443 กิโลกรัม ยึดอายัดทรัพย์สิน 1,900 ล้านบาท ยุทธการเชิงรุกในการสกัดกั้นและขยายผลการปราบปรามยาเสพติดในครั้งนี้ มีรายละเอียด ดังนี้ 1.สกัดกั้นจากชายแดนภาคเหนือ 10 คดี ผู้ต้องหา 17 คน ของกลาง ยาบ้ากว่า 29.93 ล้านเม็ด เฮโรอีน 70 กิโลกรัม ไอซ์และคีตามีน 2,476 กิโลกรัม 2.สกัดกั้นจากชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 2 คดี ผู้ต้องหา 8 คน ของกลาง ไอซ์ 697 กิโลกรัม 3.สกัดกั้นในพื้นที่ภาคใต้ไม่ให้ผ่านไปยังประเทศที่สาม 4 คดี ผู้ต้องหา 9 คน ของกลาง ไอซ์ 1,132 กิโลกรัม และ 4.สกัดกั้นลักลอบลำเลียงยาเสพติด ผ่านสนามบินสุวรรณภูมิ ปลายทาง ได้แก่ ออสเตรเลีย ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และกินี ตามโครงการ AITF 15 คดี ของกลาง ไอซ์ 137.68 กิโลกรัม และ เฮโรอีน 57.26 กิโลกรัม





คำที่เกี่ยวข้อง : #ภาครัฐ  




Recommend News






MOST POPULAR


























©2018 ONBNEWS. All rights reserved.