แม่ร่ำไห้! ขอโทษ "สะใภ้" ทิ้งลูกแฝดให้เลี้ยง ส่งเงินมาจริงแต่ไม่พอ กลัวหลานไม่มีกิน
5 ก.พ. 2563, 08:52
วันที่ 4 ก.พ.63 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณีนางกิมฮวย จันทร์ประโคน อายุ 54 ปี วอนขอผู้ใจบุญให้ทานนมและแพมเพิสเด็ก เพราะไม่มีเงินเลี้ยงหลานฝาแฝดวัย 11 เดือน 2 คน ที่ลูกชายและลูกสะใภ้ เอามาฝากเลี้ยงตั้งแต่เด็กอายุ 2 เดือน ทั้งยังต้องเลี้ยงหลานวัย 6 ขวบซึ่งเป็นลูกของลูกชาย และแม่วัย 80 ปี รวม 5 ชีวิตในครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบ ขณะที่รายได้ที่เคยได้จากการขายของก็หมดไปเพราะต้องเลี้ยงหลาน โดยต่อมาโลกออนไลน์เห็นใจย่าเด็กส่งข้าวของเครื่องใช้และโอนเงินมาช่วยค่าใช้จ่ายได้จำนวนหนึ่ง พร้อมกับต่อว่าแม่เด็กที่ไม่มีความรับผิดชอบ จนกระทั่งแม่เด็กออกมาโต้ข่าวที่เกิดขึ้นว่า ไม่เป็นความจริง ได้ส่งเงินให้ลูกเป็นประจำ
ล่าสุด น.ส.เอ(นามสมมุติ)แม่เด็กแฝด ได้ออกมาระบุว่า เรื่องราวที่เกิดขึ้น ตนได้รับความเสียหาย ตอนนี้จะเตรียมปรึกษานักกฎหมาย หากเอาผิดได้ก็จะดำเนินคดีฐานให้ความเท็จ ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง หากแม่ย่าไม่มาขอโทษต่อหน้าก็จะแจ้งความดำเนินคดี
ด้านนางกิมฮวย ย่าเด็กแฝด กล่าวว่าตอนที่พูดไปยอมรับว่าอัดอั้น เพราะชีวิตถึงทางตันจึงพูดออกไปแบบไม่ยั้งคิด ยอมรับว่าลูกสะใภ้ ส่งเงินมาบ้างบางครั้ง แต่ไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่ต้องเลี้ยงหลาน 3 คน จึงจำเป็นต้องไปเซ็นนมข้นจากร้านค้าในหมู่บ้าน รวมถึงเงินที่ไปยืมชาวบ้านมาเป็นค่าจ้างเหมารถพาหลานไปหาหมอยามเจ็บป่วย
ถึงเวลานี้ตนก็อยากจะขอโทษลูกชายและลูกสะใภ้ ที่ทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง เพราะไม่คิดว่ามันจะบานปลายขนาดนี้ แต่ถ้าจะเอาผิดแม่ แจ้งจับแม่ ก็ยอมรับผิดทั้งหมด หรือจะให้โลกโซเชียลด่าแม่กลับคืนอย่างไรก็ยอม ทั้งหมดทำไปเพราะอยากให้หลานอยู่รอด
ด้าน น.ส.หมู เจ้าของร้านขายของชำในหมู่บ้าน ระบุว่าร้านค้าในหมู่บ้านมีหลายร้าน ส่วนใหญ่ป้ากิมฮวย จะมาขอเชื่อนมและอาหารจากร้านไปเป็นประจำ โดยป้ากิมฮวยจะเอาบัตรสวัสดิการมามอบให้ไว้ แล้วค่อยหัก แต่ก็ไม่เพียงพอ เพราะปริมาณสินค้าที่เอาไปมากกว่า จนยอดหนี้มีกว่า 2,400 บาท ตอนนี้ป้ากิมฮวย ได้เอามาใช้หนี้แล้ว เพราะมีคนเอาเงินมาบริจาคให้ ส่วนหนึ่งคิดว่าไม่หวังได้เงินคืน แต่ก็ต้องให้เพราะเด็กไม่มีกิน ประกอบกับจากพฤติกรรมของป้ากิมฮวย ไม่เป็นคนเล่นการพนัน ไม่ดื่มเหล้า พยายามวิ่งหาทุกทางที่จะเลี้ยงหลาน โดยเฉพาะหลังรับหลาน 2 คนมาเลี้ยงสุขภาพของป้ากิมฮวย เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด จึงพยายามจะช่วยเท่าที่ช่วยได้