"ประธานกลุ่มสตรีกาญจนบุรี" เรียกร้อง ยกเลิกต่อสัมปทานระเบิดภูเขา เทือกเขาแรด หลังชาวบ้านได้รับผลกระทบต่อเนื่อง
16 ก.พ. 2563, 16:21
วันนี้ ( 16 ก.พ. 2563 ) ผู้สื่อข่าว ONB news รายงานว่า นางภินันทน์ โชติรสเศรณี ประธานกลุ่มสตรีกาญจนบุรีเปิดเผยว่า เขาแรด ซึ่งเป็นเขาปลายสุดของเทือกเขาถนนธงชัยติดสายน้ำแม่กลอง ฝั่งตรงข้ามกับตัวเมืองกาญจนบุรี กลับมีการให้ประทานบัตรเหมืองแร่มาระเบิดภูเขา เสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ฝุ่นฟุ้งกระจายทั้งท้องฟ้า กระแสลมพัดแพร่กระจายไปทั่วเมือง ชาวบ้านได้รับผลกระทบทั้งเสียง แรงระเบิด และสุขภาพมายาวนาน
อีกทั้งสถานที่ระเบิดอยู่ใกล้กับสถานที่ราชการสำคัญ อาทิ ศาลากลางจังหวัด ศาลจังหวัด จวนผู้ว่าราชการจังหวัด การระเบิดเคยส่งผลให้กระจกศาลจังหวัดแตกเสียหายมาแล้ว ดังนั้นในเมื่อประทานบัตรหมดอายุในอีกไม่นานนี้ จึงอยากเรียกร้องให้ยุติการต่อประทานบัตร และให้ผู้ประกอบการขนย้ายอุปกรณ์ทรัพย์สินออกโดยเร็ว
เหมืองแร่นี้เป็นประทานบัตรที่ 24743/14901 ของห้างหุ้นส่วนจำกัด ศิลาเขาน้อย มีอายุประทานบัตร 25 ปี ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2538 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2563 เป็นชนิดแร่โดโลไมต์และหินอุตสาหกรรมชนิดหินปูนเพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้าง ปัจจุบันอยู่ระหว่างยื่นคำขอประทานบัตรใหม่ในพื้นที่เดิม
ด้านนายสุรพงษ์ กองจันทึก ที่ปรึกษากลุ่มอนุรักษ์กาญจน์ อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ กล่าวว่า เหมืองหินนี้ก่อมลพิษทางเสียง การสั่นสะเทือนและฝุ่นละอองตลอดมา โดยเฉพาะปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในปัจจุบัน หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องต้องไม่ต่อประทานบัตรและเร่งฟื้นฟูสภาพแวดล้อมเขาแรดที่ถูกทำลายจากการระเบิดให้สมบูรณ์ดังเดิมโดยเร็ว เนื่องจากสามารถมองเห็นความเสียหายได้ชัดเจน เป็นทัศนียภาพที่ไม่สวยงามของเมืองกาญจนบุรีซึ่งเป็นเมืองท่องเที่ยว อีกทั้งในเขาแรดมีสถานที่ท่องเที่ยวจำนวนมาก อาทิ ถ้ำละว้า ถ้ำม่านวิจิตร ถ้ำเสือ ถ้ำมังกรทอง
และนายสุรพงษ์ กองจันทึก ที่ปรึกษากลุ่มอนุรักษ์กาญจน์ อดีตกรรมการสิทธิมนุษยชน สภาทนายความ เปิดเผยต่ออีกว่ายังมีอีกหลายจังหวัดที่เจอกับปัญหาเช่นนี้ โดยก่อนหน้านี้จากการที่นางสาวสื่อกัญญา ธีระชาติดำรง ชาวบ้านบ้านเขาหม้อ ตำบลเขาเจ็ดลูก อำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตร ที่ได้รับผลกระทบการการทำเหมืองแร่ เป็นโจทก์ตัวแทนกลุ่มชาวบ้าน 12 หมู่บ้าน ของอำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตร และอำเภอวังโป่ง จังหวัดเพชรบูรณ์ ยื่นฟ้อง บริษัทอัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) เป็นจำเลย ต่อศาลแพ่งแผนกคดีสิ่งแวดล้อม โดยมีว่าที่ ร.ต.สมชาย อามีน คณะทำงานสำนักงานสิ่งแวดล้อม สภาทนายความ เป็นทนายความของกลุ่ม บัดนี้ศาลได้มีคำสั่งอนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่มแล้ว และนัดชี้สองสถานเพื่อตรวจพยานหลักฐาน ในวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 นี้
การดำเนินคดีแบบกลุ่ม หรือ Class Action เป็นการดำเนินคดีเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม ที่มีผู้เสียหายจำนวนมาก ภายใต้ข้อเท็จจริงหรือกฎหมายเดียวกัน จึงให้มีโจทก์เพียงคนเดียวเข้าร่วมในกระบวนการยุติธรรม แต่ผลของคำพิพากษาในคดีจะผูกพันถึงกลุ่มบุคคลที่ได้รับการดำเนินคดีแทนด้วย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย เวลา และลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินคดีให้น้อยลง ตลอดจนทำให้ผู้เสียหายได้รับการเยียวยาอย่างมีประสิทธิภาพ
คดีนี้มีกลุ่มผู้เสียหายเป็นชาวบ้านนับหมื่นคน จาก 12 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ที่ 2 บ้านเขาตะพานนาก, หมู่ที่ 3 บ้านเขาดิน, หมู่ที่ 4 บ้านจิตเสือเต้น, หมู่ที่ 7 บ้านหนองขนาก, หมู่ที่ 8 บ้านนิคม, หมู่ที่ 9 บ้านเขาหม้อ ตำบลเขาเจ็ดลูก อำเภอทับคล้อ จังหวัดพิจิตร และหมู่ที่ 1 บ้านวังชะนาง, หมู่ที่ 4 บ้านด่านช้าง, หมู่ที่ 5 บ้านวังชะนางใต้, หมู่ที่ 7 บ้านทุ่งนางงาม, หมู่ที่ 8 บ้านดงหลง, หมู่ที่ 10 บ้านหนองแสง ตำบลท้ายดง อำเภอวังโป่ง จังหวัดเพชรบูรณ์
ในคำฟ้องระบุว่า หมู่บ้านของโจทก์และสมาชิกกลุ่มตั้งอยู่รายรอบพื้นที่เขตประทานบัตรและเขตเหมืองแร่ของบริษัทอัคราฯ โจทก์และสมาชิกกลุ่มมีอาชีพทำนา ทำไร่ เลี้ยงสัตว์ และรับจ้าง เป็นผู้ใช้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค จากคลองล่องหอย คลองสายรุ้ง และคลองธรรมชาติ น้ำซับจากป่าน้ำซับ ใช้บ่อน้ำตื้นและบ่อบาดาลในชุมชน และเป็นผู้ได้รับการเสียหายจากการทำเหมืองแร่ทองคำในพื้นที่ประทานบัตรของจำเลย
โจทก์และสมาชิกกลุ่มเป็นบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบกิจการทำเหมืองแร่ทองคำในเขตประทานบัตรของจำเลย ทั้งด้านสุขภาพ ร่างกาย ทรัพย์สิน และวิถีชีวิตเกษตรกรรมถูกทำลาย รวมทั้งถูกละเมิดสิทธิด้านสิ่งแวดล้อม เนื่องจากการประกอบกิจการของจำเลย เป็นแหล่งกำเนิดหรือก่อให้เกิดการรั่วไหลหรือแพร่กระจายของมลพิษต่างๆ ออกสู่ภายนอก เช่น ฝุ่นละอองโลหะหนักที่มีพิษ สารหนู แมงกานิส เหล็ก สารไซยาไนต์ ที่เกิดจากกระบวนการทำเหมืองแร่และแต่งแร่ทองคำและเงินของจำเลยโดยตรง
โจทก์ขอให้จำเลยชดใช้ค่ารักษาพยาบาลการเจ็บป่วยมีสารพิษในร่างกาย ค่าเสื่อมสุขภาพอนามัยได้รับทุกขเวทนาด้านร่างกายและจิตใจ ค่าเสื่อมสุขภาพด้านจิตใจ ทำให้หวาดกลัวและหวั่นวิตกจากการเกิดโรคจากสารพิษ ค่าใช้จ่ายเพื่อดำรงชีพในครัวเรือน เนื่องจากทรัพย์สินและผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย และค่าขาดประโยชน์จากการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ในการใช้แหล่งน้ำ และวิถีชีวิตเกษตรกรรมถูกทำลายและการดำรงชีวิตเปลี่ยนไป รวมเป็นเงินค่าสินไหมทดแทนทั้งสิ้น 1,588,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีจากเงินต้นดังกล่าว
นอกจากนี้ยังขอให้จำเลยจ่ายเงินเข้ากองทุนฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ อาชีพ ประเพณี และวิถีชีวิตเพื่อใช้เยียวยาและฟื้นฟูสภาพแวดล้อมที่เสียไป เป็นเงิน 50,000,000 บาท อีกทั้งขอให้จำเลยแก้ไขและฟื้นฟูสภาพแวดล้อมบริเวณพื้นที่โดยรอบประทานบัตรเหมืองทองคำ ให้กลับสู่สภาพเดิมปราศจากการปนเปื้อนของสารพิษและกลบหลุมเหมือง ด้วยค่าใช้จ่ายของจำเลยเอง ภายใต้การควบคุมกำกับดูแลจากหน่วยงานราชการ