เปิด ปิด การใช้งานคุกกี้ของ ทรูฮิต (Truehits Cookies)



เลขาธิการสมาพันธ์ครูแห่งประเทศไทยค้านเรื่องการยุบ ร.ร.ขนาดเล็กคิดว่าเป็นการไม่ถูกต้อง


17 ก.พ. 2563, 12:04



เลขาธิการสมาพันธ์ครูแห่งประเทศไทยค้านเรื่องการยุบ ร.ร.ขนาดเล็กคิดว่าเป็นการไม่ถูกต้อง




เมื่อวันที่  17  ก.พ. 62  ผู้สื่อข่าว ONB news รายงานว่า ที่หอประชุมที่ว่าการ อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ นายวิสัย  เขตสกุล  เลขาธิการสมาพันธ์สมาคมครูแห่งประเทศไทย  (ส.ค.ท.) ได้กล่าวถึง นโยบายการควบรวมโรงเรียนขนาดเล็ก ตามมติ  ครม. 7  ต.ค.2562  นั้น  ค่อยผ่อนคลายลงไปบ้าง  หลังจากที่เจ้ากระทรวงศึกษาธิการ  นายณัฎฐพล  ทีปสุวรรณ ได้มีความเข้าใจถึงผู้ปกครองประชากรในวัยเรียน  ที่โรงเรียนขนาดเล็กยังมีความจำเป็นมากที่จะต้องให้ดำรงคงอยู่ในชุมชน  เพื่อความมั่นคงของพลเมืองชาติ  และต้องขอบคุณท่าน  ดร.อำนาจ  วิชยานุวัติ  เลขาธิการ กพฐ.ที่จะนำเรื่องการพัฒนาสร้างคุณภาพให้กับโรงเรียนขนาดเล็กเข้า ครม.โดยจัดสรรอัตรากำลังครูให้กับโรงเรียนขนาดเล็ก ก็ถือว่ามาถูกทางในการที่พัฒนาก่อนแก้ปัญหา  ซึ่งต้องจัดสรร  4  M  ลงไปให้อย่างเพียงพอ ให้เสมอภาคและเท่าเทียม เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของประชากรในวัยเรียนของชาติ  ไม่ให้ชุมชนสร้างความเข้มแข็งด้วยตนเองฝ่ายเดียว รัฐต้องดำเนินการจัดการศึกษาตามรัฐธรรมนูญอย่างทั่วถึง  ดังเช่น  ร.ร.บ้านพะเยียวตาสุ  (อส.พป.37)  ต.ใจดี  อ.ขุขันธ์  มีความเข้มแข็งตามหลัก  “บวร”  เป็นแบบอย่างได้  ถ้าราชการจัด  4  M  ให้เชื่อว่าคุณภาพผู้เรียนไม่พ้น  1  สมอง  2 มือครูแน่นอน  หากจะให้โรงเรียนเข้มแข็ง  จะต้องกระจายอำนาจ  ให้มี  พ.ร.บ.โรงเรียนเป็นนิติบุคคลตามกฏหมายมหาชนอย่างแท้จริง  ให้มีความเป็นอิสระทางด้านวิชาการ  ด้านการบริหารบุคคล  ด้านแผนงบประมาณ  และด้านบริหารทั่วไป  โดยส่วนกลางควบคุมการเป็นเอกภาพการศึกษา  ด้านคุณภาพการศึกษา  เป็นค่าที่คณะกรรมการโรงเรียนนิติบุคคลจะกำหนดเอง  เป็นต้น  ไม่ใช่เอาตัวเลขคะแนนโอเน็ตเป็นตัววัดคุณภาพ  มีความเป็นอิสระด้านวิชาการที่จะกำหนดหลักสูตรแกนกลางและท้องถิ่นได้อย่างบูรณาการ  เช่น  กำหนดกลุ่มงานวิชาการกลุ่มงานวิชาชีพ  กลุ่มงานวิชาดำรงชีพ  ที่จะทำให้ผู้จบการศึกษาตอบโจทย์ความต้องการของท้องถิ่น ไม่เหมือนหลักสูตรปัจจุบันมุ่งผลิตคนไปรับใช้โรงงานของกลุ่มทุน  และอีกเรื่องที่ต้องปรับใหม่คือ  หน่วยงานที่เหนือโรงเรียนขึ้นไป  ไม่จำเป็นต้องมีมาก  เปลืองงบประมาณของกระทรวง  เพราะไม่มีส่วนในการสอนเด็ก  หล่อหลอมผู้เรียนเลย



เลขาธิการสมาพันธ์สมาคมครูแห่งประเทศไทย  (ส.ค.ท.) กล่าวต่อไปว่า ยกตัวอย่างเช่น ร.ร.บ้านพะเยียวตาสุ (อส.พป.37) ได้ก่อตั้งเมื่อวันที่  23  เม.ย.2505 บนเนื้อที่ 70  ไร่ 1 งาน 43  ตารางวา มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องยาวนานด้วยการระดมทุนและทรัพยากรต่าง ๆ ด้วยการบริจาคทรัพย์สินส่วนตัวมาช่วยกันขับเคลื่อนพัฒนาจนกลายเป็นความรัก ความหวงแหน ความเชื่อมั่นศรัทธาที่ถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้การหล่อหลอมความเป็นตัวต้นกลายเป็นความเข้มแข็งของชุมชน การที่คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่  7 ต.ค.2562 ให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานพิจารณาควบรวมโรงเรียนที่มีนักเรียนต่ำกว่า 120  คนลงมานั้น เป็นการไม่ถูกต้องโดยอาศัยช่องทางทางกฎหมายอย่างเดียวโดยไม่มีการทำประชาพิจารณ์  หรือประชาคมเพื่อให้โอกาสชุมชนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้เสนอแนะแสดงความคิดเห็นนั้นย่อมไม่สามารถที่จะกระทำได้เพราะเป็นการกระทำที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 77 ซึ่งบัญญัติไว้มีสาระสำคัญว่า รัฐพึงจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้อง วิเคราะห์ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากกฎหมายอย่างรอบด้านและเป็นระบบ การออกกฎหมายที่จะยุบและควบรวมโรงเรียนโดยที่ไม่มีการรับฟังชุมชนผู้มีส่วนได้เสียจึงเป็นการลิดรอนสิทธิขั้นพื้นฐานตามรัฐธรรมนูญ และยังขัดกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 58 ซึ่งบัญญัติไว้มีสาระสำคัญว่า การดำเนินการใดของรัฐ ถ้าการนั้นอาจมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตหรือส่วนได้เสียสำคัญอื่นใดของประชาชน รัฐต้องดำเนินการให้มีการศึกษาและประเมินผลกระทบต่อประชาชน ซึ่งจะเห็นได้ว่ามติดังกล่าวมีความขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญทำให้มตินี้ไม่ชอบด้วยกฎหมายด้วย ทำให้คณะกรรมการสถานศึกษา  ร.ร.บ้านพะเยียวตาสุ  (อส.พป.37) ผู้นำชุมชน ผู้ปกครอง ครู นักเรียน พระสงฆ์ และบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ประชุมประชาคมร่วมกัน  เมื่อวันที่  10  ต.ค.2562 ที่ผ่านมา มีข้อสรุปและมติไม่ควบรวมโรงเรียนจะช่วยกันบำรุงดูแลรักษาโรงเรียนแห่งนี้ให้อยู่คู่กับชุมชนตลอดไป ร่วมทั้งมีการเรียกร้องไปยังคณะรัฐมนตรีให้มีการทบทวนมติและสนับสนุนอัตรากำลังครู งบประมาณในการพัฒนาเนื่องจากโรงเรียนมีพื้นที่จำนวนมากสามารถที่จะพัฒนาเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนมีคุณภาพ และเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และถ่ายทอดเทคโนโลยีทางการศึกษาในระดับตำบลและโรงเรียนใกล้เคียงได้หากรัฐบาลหรือกระทรวงศึกษาธิการหน่วยงานต้นสังกัดที่เกี่ยวข้องมีความจริงใจในการสนับสนุนการพัฒนามากกว่าการมองกำไรขาดทุนเพราะทรัพยากรมนุษย์ถือว่ามีความสำคัญในการพัฒนาประเทศด้วยเหตุนี้  ร.ร.บ้านพะเยียวตาสุ(อส.พป.37) พร้อมผู้มีส่วนเกี่ยวข้องจึงได้แสดงพลัง จุดยืนในทุกรูปแบบภายใต้สิทธิเสรีภาพในการแสดงออกแสดงความคิดเห็นที่ถูกต้องภายใต้กฎหมายและระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข สะท้อนไปยังผู้มีอำนาจให้ลงมาดูลงมาสัมผัสและร่วมกันพัฒนาและยกระดับคุณภาพการศึกษาไทยอย่างแท้จริง  ซึ่งปัจจุบัน  ร.ร.มี นายศราวุธ  วามะกัน  เป็น ผอ.ร.ร.ได้มีความมุ่งมั่นทุ่มเทในการพัฒนาในทุกด้านโดยเฉพาะการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้เป็นตามที่สังคมประเทศชาติคาดหวัง และในวันที่ 5  ก.พ.  2563 เวลา  14.50 - 16.30 น. นายสะอาด  วงศ์รักษ์ นายอำเภอขุขันธ์ ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานบูรณาการจัดทำแผนบริหารจัดการ  ร.ร.ขนาดเล็กในเขตพื้นที่  เพื่อออกมาประชาคมรับฟังความคิดเห็นในประเด็นดังกล่าว  ปรากฏว่าผู้ปกครองนักเรียน  คณะกรรมการสถานศึกษา  ผู้นำชุมชน ร่วมกันประชาคมและแสดงความคิดเห็นร้อยละ 100 ให้ดำรงอยู่  (Stand Alone) โดยชุมชนจะร่วมกันขับเคลื่อนพัฒนาปกป้องสถานศึกษาไม่ยุบ ไม่ควบรวมกับโรงใดทั้งสิ้น


 

 

 

 

 

 

 

 

 

 






Recommend News






MOST POPULAR


























©2018 ONBNEWS. All rights reserved.