ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยบริติชโคลัมเบีย (UBC) ของแคนาดา ตีพิมพ์ผลการศึกษานี้ลงในวารสาร Psychological Science โดยระบุว่ากลิ่นกายเฉพาะตัวของคนรักช่วยทำให้การนอนหลับของอีกฝ่ายมีคุณภาพดีขึ้น เทียบเท่ากับการได้รับฮอร์โมนเมลาโทนิน แม้จะเป็นการได้กลิ่นทางอ้อมจากสิ่งของต่าง ๆ โดยไม่รู้ตัวก็ตาม

มีการทดลองกับอาสาสมัคร 155 คน โดยแต่ละคนจะได้เสื้อยืด 2 ตัวไปใช้เป็นปลอกหมอน ซึ่งหนึ่งในจำนวนนี้เป็นเสื้อยืดที่คนรักของอาสาสมัครได้สวมใส่แล้ว ส่วนอีกตัวหนึ่งอาจเป็นเสื้อยืดที่คนอื่นเคยสวมใส่ หรือเป็นเสื้อยืดสะอาดใหม่เอี่ยม ทีมผู้วิจัยได้รักษากลิ่นที่ติดเสื้อยืดดังกล่าวไว้เป็นอย่างดี โดยให้คนรักของอาสาสมัครและผู้ที่เป็นกลุ่มควบคุมสวมเสื้อเป็นเวลานาน 24 ชั่วโมง โดยห้ามใช้น้ำหอม สูบบุหรี่ กินอาหารที่มีกลิ่นแรง หรือใช้สารระงับกลิ่นกายใด ๆ ทั้งสิ้นในระหว่างนั้น

อาสาสมัครจะสลับใช้เสื้อยืด 2 ตัวที่ได้รับ สวมทับหมอนที่ใช้หนุนนอนคืนละตัว โดยไม่ทราบว่าเสื้อตัวใดเป็นของคนรักหรือคู่ครองของตน นอกจากนี้ยังมีการใช้อุปกรณ์ตรวจวัดคุณภาพการนอนกับอาสาสมัครในทุกคืนด้วย

ผลปรากฏว่าอาสาสมัครส่วนใหญ่นอนหลับสนิทและสบายขึ้น ในคืนที่หนุนหมอนซึ่งมีเสื้อยืดติดกลิ่นจากคนรักของตนเองสวมทับอยู่ ส่วนอุปกรณ์ตรวจวัดคุณภาพการนอนก็แจ้งผลที่สอดคล้องกัน โดยชี้ว่าอาสาสมัครที่ได้สูดกลิ่นกายของคนรัก สามารถนอนหลับได้ดีขึ้นกว่า 2% โดยเฉลี่ย เมื่อเทียบกับคุณภาพการนอนของแต่ละคนก่อนหน้านี้

 มาร์ลีส ฮอเฟอร์ นักศึกษาวิจัยระดับปริญญาเอกของ UBC ผู้ริเริ่มการศึกษาทดลองนี้บอกว่า "ผลที่ได้จากการสูดกลิ่นกายของคนรักที่ติดเสื้อผ้า มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับการได้รับฮอร์โมนเมลาโทนิน ซึ่งเป็นสารช่วยให้นอนหลับที่นิยมใช้กันอยู่ในปัจจุบัน"

 

"เราอาจนำวิธีนี้ไปใช้ เวลาที่ต้องเดินทางไปต่างถิ่นและค้างแรมในสถานที่ไม่คุ้นเคย หากพกพาเอาเสื้อที่มีกลิ่นของคนรักไปด้วย ก็น่าจะทำให้นอนหลับพักผ่อนได้ง่ายขึ้น"

"กลิ่นของคนรักที่ผูกพันกันมาเป็นเวลานาน อาจกระตุ้นให้อีกฝ่ายเกิดความรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย และผ่อนคลาย เสมือนตัวของคนรักมาอยู่ใกล้ชิดกันจริง ๆ ซึ่งนำไปสู่การนอนหลับสนิทและสบายขึ้นได้"

"ในเร็ว ๆ นี้ เราจะทำการทดลองเพิ่มเติม เพื่อดูว่ากลิ่นกายของพ่อแม่ที่ติดเสื้อผ้าและของใช้อื่น ๆ จะทำให้เด็กทารกนอนหลับได้ดีขึ้น เหมือนกับกรณีของคนรักหรือไม่" ฮอเฟอร์กล่าว