ชาวบ้านฝากทุกฝ่ายดูแล "เจ้ามาเรียม" อย่าให้เกิดเหตุเหมือน "เจ้าโทน" (ชมภาพ)
26 มิ.ย. 2562, 16:32
ผู้สื่อข่าว onb news รายงานว่า นายยาเหตุ หะหวา อายุ 62 ปี ชาวบ้านบ้านเจ้าไหม ตำบลเกาะลิบง อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง นำกระดูกส่วนสันหลังของ "เจ้าโทน" พะยูนน้อยแสนรู้ตัวแรกแห่งท้องทะเลตรัง เมื่อปี 2535-2536 ที่ยังหลงเหลืออยู่ โดยไปเก็บกลับมาจากโรงเรียนบ้านหาดยาว ตำบลเกาะลิบง หลังนำไปจัดแสดงไว้ให้เด็กๆ ได้ดูทั้งตัว แต่ต่อมากลับสูญหายเกือบหมดจนเหลือเฉพาะกระดูกส่วนสันหลัง จึงเก็บกลับมาไว้เป็นหลักฐาน และเป็นที่ระลึกถึงเจ้าโทน
โดย นายยาเหตุ เล่าว่า เมื่อประมาณเดือนธันวาคม 2535 ช่วงขณะน้ำลง ขณะที่ลูกชายกับเพื่อนเดินหาหอยชักตีนอยู่บริเวณแหล่งหญ้าทะเลหน้าหมู่บ้าน ปรากฎว่า ไปพบเจอพะยูนน้อยตัวหนึ่ง อายุไม่ถึง 2 ปี เกยตื้นอยู่ จึงช่วยเหลือพากันนำกลับลงน้ำ หลังจากนั้นเมื่อตนเองและชาวบ้านลงไปเล่นน้ำทะเลบริเวณดังกล่าว เจ้าโทน แรกเริ่มยังไม่คุ้นคนก็จะว่ายน้ำหนี แต่เมื่อพบเจอคนทุกวันๆ และเริ่มคุ้นเคย ก็ว่ายน้ำเข้ามาหา ยอมเล่นด้วย จนกระทั่งให้ยอมให้อุ้ม ให้กอด จึงช่วยกันตั้งชื่อว่า เจ้าโทน เพราะอาศัยอยู่เพียงลำพังตัวเดียว
หลังๆ มาเมื่อตนเองหรือชาวบ้านที่คุ้นเคยบางคนเรียกชื่อหา เจ้าโทนๆๆ เจ้าโทน ซึ่งกินหญ้าอยู่บริเวณใกล้ๆ ก็จะยกหางตีน้ำตอบกลับมาว่าอยู่ตรงไหน แล้วว่ายน้ำมาหา หรือบางคนใช้มือตบผิวน้ำเบาๆ เจ้าโทน ก็จะว่ายน้ำมาหา โดยชาวบ้านได้เลี้ยงเจ้าโทน อยู่ได้เกือบ 1 ปี มันก็ตายลง เพราะถูกเครื่องมือประมง ขณะที่มีน้ำหนักหนักประมาณ 47 กิโลกรัม และยาวประมาณ 147 เซนติเมตร
สำหรับความแตกต่างระหว่างเจ้าโทน กับเจ้ามาเรียม พะยูนน้อยแสนรู้ตัวล่าสุดของจังหวัดตรัง ก็คือ เจ้าโทน เป็นพะยูนเพศผู้ และมีอายุมากกว่าเจ้ามาเรียม อีกทั้งขณะนั้น เจ้าโทน ได้หย่านมแม่แล้ว และกินหญ้าทะเลเองในธรรมชาติเป็นแล้ว ขณะที่เจ้ามาเรียม ยังเล็ก ต้องอาศัยคนป้อนนม และกำลังฝึกหัดกินหญ้า แม้ตนเองจะดีใจมากที่เจ้าหน้าที่และชาวบ้านร่วมกันดูแลเจ้ามาเรียม อย่างดีเหมือนลูก แต่ที่เป็นห่วงคือ เราจะปล่อยให้เจ้ามาเรียม ออกไปหากินข้างนอกไม่ได้ เพราะเชื่อว่ามันจะคุ้นคน และจะต้องเข้าหาคน เข้าหาเรือ หากปล่อยให้เจ้ามาเรียม ออกไปไกลในธรรมชาติ มันจะต้องตาย เพราะติดเครื่องมือประมงแน่นอน
"จึงอยากให้ควบคุมพื้นที่ไม่ให้เจ้ามาเรียม ออกไปไกล และอย่าให้เรือใดๆ เข้าไปในบริเวณพื้นที่ที่เจ้ามาเรียม อาศัยอยู่ เพราะลักษณะนิสัยของพะยูน หากอยู่บริเวณไหนจะอยู่บริเวณนั้น นอกจากช่วงฤดูผสมพันธุ์ที่จะออกไปไกล ส่วนเรื่องการเกยตื้นถ้าเจ้าหน้าที่จัดเวรยามลาดตระเวนและตามหาเจ้ามาเรียม เจอทุกครั้ง มันก็จะไม่ตาย แต่หากหาตัวไม่พบและเกยตื้นเป็นเวลานานจนผิวแห้ง เจ้ามาเรียม ก็อาจจะตายได้ เช่นเดียวกับชาวบ้านบ้านเจ้าไหม คนอื่นๆ ที่เคยคลุกคลีกับ เจ้าโทน ต่างก็รู้สึกกังวลห่วงเจ้ามาเรียม เพราะจะไม่ปลอดภัยจากเรือ หากมันต้องออกไปใช้ชีวิตในธรรมชาติ" นายยาเหตุ กล่าว
ด้าน นางเพลินใจ ชาญเสนาะ อายุ 71 ปี ตัวแทนสมาคมหยาดฝน ซึ่งเคยเป็นองค์กรที่เดินหน้าทำกิจกรรมอนุรักษ์หญ้าทะเลอย่างจริงจัง และต่อต้านการทำประมงผิดกฎหมายในพื้นที่บริเวณชายฝั่ง ได้นำภาพเด็กๆ ที่ถ่ายกับเจ้าโทน ที่บ้านเจ้าไหม ตำบลเกาะลิบง มาเปิดให้ผู้สื่อข่าวดู พร้อมกับเล่าย้อนเหตุการณ์ให้ฟังว่า เมื่อประมาณปี 2534 สมาคมหยาดฝน ได้เดินหน้ารณรงค์ให้ประชาชนร่วมกันปลูกและอนุรักษ์หญ้าทะเลอย่างจริงจัง แต่ชาวบ้านยังไม่ค่อยเข้าใจหรือให้ความสำคัญมากนัก
จนปลายปี 2535 เมื่อเจ้าโทน ซึ่งเข้ามากินหญ้าริมชายฝั่งมาเกยตื้น ทำให้ชาวบ้านได้คลุกคลีและรู้จักพะยูน ทุกคนจึงรู้สึกรักเจ้าโทน มาก จนเมื่อเจ้าโทน มาตายเพราะติดอวน ชาวบ้านต่างร้องไห้เสียใจกันทั้งหมู่บ้าน นับจากนั้นมาการอนุรักษ์หญ้าทะเล และการจัดการทรัพยากรชายฝั่งก็เข้มแข็งขึ้นทันที เพราะประชาชนเข้าใจเรื่องการอนุรักษ์มากขึ้น มีสื่อและรายการทีวีมาถ่ายทำไปออกข่าว จึงทำให้คนรู้จักและรักพะยูนไปทั่วประเทศ พร้อมอยากบอกให้ทุกฝ่ายร่วมกันรักษาธรรมชาติ โดยเฉพาะเรื่องน้ำเสีย และสิ่งปฏิกูลอื่น ที่เป็นต้นเหตุให้หญ้าทะเลตาย เพราะหากหญ้าทะเลตาย รากจะเน่า โอกาสฟื้นตัวยากมาก และจะส่งผลเสียต่อพะยูนในอนาคต