กรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ กิตติภพ แซ่ตั้ง โพสต์ข้อความว่า พาภรรยาท้อง 6 เดือนไปอัลตร้าซาวด์ 4 มิติ โดยคุณหมอที่ทำอัลตร้าซาวด์ ไม่ใช่หมอประจำที่เคยตรวจให้ทุกครั้ง และมีการกดท้องของภรรยาอย่างแรงหลายครั้ง จนเจ็บและปวดท้องตลอดทั้งคืน ไม่ถึง 2 วันก็ต้องกลับไปหาหมออีกครั้ง และคลอดก่อนกำหนด สุดท้ายทารกเสียชีวิต

 

ซึ่งต่อมา นายแพทย์ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ชี้แจงว่า ทางโรงพยาบาลและทีมแพทย์ผู้รักษา ยืนยันว่าการรักษา และการทำอัลตร้าซาวน์ 4D เป็นไปตามมาตรฐานทางการแพทย์ ดำเนินการทุกอย่างตามขั้นตอนตามระบบ แต่ยังไม่ได้สรุปสาเหตุการเสียชีวิต

 

ล่าสุด นายกิตติภพ แซ่ตั้ง เจ้าของโพสต์ เผยกับผู้สื่อข่าวว่า สิ่งที่ตนคาใจคือ ภรรยาทำการอัลตร้าซาวด์หลายครั้งกับหมอประจำก็ไม่รู้สึกเจ็บ และตั้งแต่ตั้งครรภ์ไม่เคยปวดท้องมาก่อน พอมาอัลตร้าซาวด์ครั้งสุดท้ายกับหมออีกคน รู้สึกว่าหมอกดแรงผิดปกติและดูเร่งรีบ จนกลับบ้านแล้วปวดท้อง กระทั่งคลอดก่อนกำหนด หลังคลอดหมอบอกเด็กแข็งแรงมาก แต่ 2 วันก็เสียชีวิตลง

หมอแจ้งว่าน่าจะติดเชื้อในปอด ตนจึงโพสต์เรื่องราวลงเฟซบุ๊ก ไม่นานเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็เรียกไปคุย พร้อมยื่นข้อเสนอจะลดค่ารักษาให้ 50 % ตนโอเคไหม ตนบอกทันทีว่าไม่โอเค เขาก็ยื่นข้อเสนออีกว่าจะไม่เก็บค่ารักษาทั้งหมดจะโอเคไหม ตนจึงบอกให้เขาทำหนังสือชี้แจงมาก่อนว่าลูกตนคลอดกำหนดได้อย่างไร และเสียชีวิตด้วยสาเหตุใด เขาบอกว่าขอเวลาตรวจสอบข้อมูล 7 วัน

 

ระหว่างรอโรงพยาบาลตรวจสอบข้อมูล มีคนที่เคยอัลตร้าซาวด์กับหมอคนดังกล่าวอินบ็อกซ์มาเป็นจำนวนมากว่า หมอคนดังกล่าวทำเจ็บมาก แต่โชคดีที่เด็กปลอดภัย ซึ่งตนจะขอให้เขาไปเป็นพยานให้ตนเพื่อไปชี้แจงกับกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ หลังครบ 7 วัน โรงพยาบาลเรียกตนเข้าไปฟังคำชี้แจง โดยตนไปพร้อมกับทนายความ 2 คน ได้รับคำชี้แจงว่า การทำอัลตร้าซาวด์ 4D ไม่เป็นอันตรายต่อเด็กในครรภ์

ตนจึงถามกลับว่า หากหมอกดแรงกว่าปกติแม้ว่าคนไข้บอกเจ็บมากก็ยังไม่หยุดจะเป็นอันตรายหรือไม่ เขาก็ไม่ตอบ ตนจึงนำหลักฐานการแชทที่ผู้เสียหายรายอื่นที่เคยอัลตร้าซาวด์กับหมอคนดังกล่าวมาแสดง เขาก็อึ้งและไม่ตอบอะไร เมื่อตนถามเรื่องที่มีเจ้าหน้าที่ยื่นข้อเสนอให้ เขากลับตอบว่า ไม่เคยบอกว่าจะไม่เก็บค่าใช้จ่าย ตนช็อคมาก

 

 

ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตเขาบอกว่า เป็นเคสที่หาสาเหตุไม่ได้ ตนจึงขอเอกสารระบุการเสียชีวิต เขาก็ไม่ทำให้ ตนจึงได้ปรึกษาอาจารย์หมอหลายๆคนที่รู้จัก แนะนำให้เอาแฟ้มการรักษาออกมา ตนจึงขอกับทางโรงพยาบาล ซึ่งเอกสารที่ได้มามีข้อมูลไม่ตรงกันในฉบับภาษาอังกฤษและฉบับภาษาไทย และมีร่องรอยการแก้ไข้ต่อเติมข้อมูล

 

ตนก็ไม่รู้จะทำยังไงกับเรื่องดังกล่าว จากการปรึกษาหลายๆคน หากจะฟ้องร้องก็คิดว่ายังไงก็ไม่ชนะ เพราะต่อสู้กับองค์กรใหญ่ และอาจจะต้องใช้เวลาหลายปี ซึ่งก็จะได้มาแค่ค่าเสียหาย ได้มาเท่าไหร่ก็ไม่คุ้มกับที่ลูกตนต้องตาย แต่ตนจะสู้เพื่อความยุติธรรม อย่างไรก็ตาม ตนรู้สึกเสียใจมาก ตนรอลูกคนนี้มา 5 ปี ตั้งแต่แต่งงานกับภรรยามา แต่กลับต้องมาเสียลูกไปโดยไม่ทราบสาเหตุ