กรมอุทยานฯ ลุยแจ้งจับขบวนการล้มคดีรื้อถอนรีสอร์ท อช.เขาแหลม
27 ต.ค. 2563, 12:26
นที่ 27 ต.ค. 63 ผู้สื่อข่าว ONB news รายงานว่า นายนิพนธ์ จำนงสิรศักดิ์ ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) นำกำลังเข้าตรวจสอบ ติดตั้งป้าย ตามนโยบาย นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม นายธัญญา เนติธรรมกุล อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืชให้ดำเนินการเด็ดขาดกับนายทุนผู้บุกรุกป่า และให้ยึดคืนพื้นที่มาจากนายทุน นำมาฟื้นฟูป่า ให้เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร สำหรับคนไทยทุกคน
ซึ่งตั้งแต่เช้าที่ผ่านมา ตนเองและนายเทวินทร์ มีทรัพย์ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ได้เดินทางมาแจ้งความดำเนินคดีกับนายสมาน หงษ์เอี่ยม ที่อยู่ 197/1 ม.11ต.ท่าเสา อ.ไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี ในข้อหายึดถือ ครอบครองและกระทำด้วยประการใดๆ ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม โดยมิได้รับอนุญาต หมู่ที่ 2 ตำบลชะแล อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี เนื้อที่จำนวน 1 ไร่ สิ่งปลูกสร้างที่เป็นรีสอร์ท จำนวน 4 หลัง ซึ่งเป็นพื้นที่เดิมของรีสอร์ท "กระท่อมริมธาร" ที่ทางหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ได้เคยแจ้งความดำเนินคดีและตรวจยึดไปเมื่อวันที่ 27ก.ค.2559 โดยคดีอาญาดังกล่าวได้ถึงที่สุดแล้ว
และได้แจ้งความดำเนินคดีกับนายกิตติพงษ์ ต้นสมบูรณ์ เจ้าของรีสอร์ท "กระท่อมริมธาร" นางสมหวัง ต้นสมบูรณ์ มารดาเจ้าของรีสอร์ท นางต้องตา ขันธวิธิ เพื่อนบ้านเจ้าของรีสอร์ท ในข้อหาเป็นผู้ร่วมสนับสนุนการกระทำผิดดังกล่าว ต่อพนักงานสอบสวน สภ.ทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี
มูลเหตุคดีของการแจ้งความดังกล่าวสืบเนื่องมาจากวันที่ 17 ต.ค.2563 นายสมาน ฯพร้อมด้วยทนายความ ได้นำเอกสาร ซึ่งเป็นหนังสือสัญญาจะซื้อ จะขาย สิ่งปลูกสร้างที่เป็นรีสอร์ทชื่อ "กระท่อมริมธาร "เลขที่ 8/7 หมู่ที่ 2 ตำบลชะแล อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม มาแสดงต่อหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลม และแจ้งว่าตนได้ซื้อสิ่งปลูกสร้างที่เป็นรีสอร์ท "กระท่อมริมธาร" มาจากนายกิตติพงษ์ ฯ นางสมหวังฯ นางต้องตาฯ และตกมาเป็นกรรมสิทธิ์ ของตนเองแล้ว ในวันที่ 2 เม.ย. 2558 ตามสัญญาจะซื้อ จะขายสิ่งปลูกสร้างรีสอร์ทดังกล่าว และนายสมานฯ พร้อมด้วยทนายความ ยังได้เดินชี้แนวเขตรังวัดพื้นที่ ที่นายสมานฯ จะขออยู่อาศัยในพื้นที่รีสอร์ท "กระท่อมริมธาร " ดังกล่าว เนื้อที่จำนวน1ไร่ พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างรีสอร์ท "กระท่อมริมธาร" จำนวน 4 หลัง ที่อ้างว่าตนเองได้ซื้อมาเป็นกรรมสิทธิ์แล้ว โดยจะขออนุญาตหรือขอเช่าที่ดินกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชต่อไป
ซึ่งทางผู้อำนวยการสำนักบริหารอนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง) และหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลมเห็นว่าพื้นที่ และสิ่งปลูกสร้างรีสอร์ท "กระท่อมริมธาร" ดังกล่าวได้เคยถูกจับกุมดำเนินคดีมาแล้วเมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2559 ต่อมาเมื่อวันที่ 31 พ.ค. 2560 ศาลจังหวัดทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ได้มีคำพิพากษาตัดสินว่า นายกิตติพงษ์ฯ เจ้าของรีสอร์ท ดังกล่าว มีความผิดฐาน บุกรุก ยึดถือ ครอบครอง อุทยานแห่งชาติเขาแหลม โดยมิได้รับอนุญาต เนื้อที่ 2 ไร่ 2งาน 80 ตาราวาง ลงโทษจำคุก 6 เดือน และปรับเป็นเงิน 2หมื่นบาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ให้นายกิตติพงษ์ฯและบริวารออกจากพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลม นายกิตติพงษ์ฯ ไม่อุทธรณ์ คดีอาญาถึงที่สุด
และทางหัวหน้าอุทยานแห่งเขาแหลม ก็ได้ใช้มาตราการทางปกครอง ติดประกาศคำสั่งให้นาย กิตติพงษ์ฯ พร้อมบริวาร ให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรีสอร์ท "กระท่อมริมธาร " จำนวน 14 หลัง ออกไปให้พ้นในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม และที่ผ่านมาเมื่อวันที่17ก.ย.2563 นายกิตติพงษ์ฯ จำเลย ก็ได้รื้อถอนรีสอร์ทดังกล่าวไปแล้ว จำนวน 6 หลัง แต่หลังจากนายสมานฯพร้อมด้วยทนายความ เข้ามาอ้างว่าตนเองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างรีสอร์ท "กระท่อมริมธาร" ดังกล่าวแล้ว นายกิตติพงษ์ฯ เจ้าของรีสอร์ท"กระท่อมริมธาร" ก็ไม่ได้รื้อถอนรีสอร์ทดังกล่าวที่เหลืออยู่ อีกเลย
เพราะฉะนั้นการที่นายสมานฯได้ซื้อสิ่งปลูกสร้างรีสอร์ท"กระท่อมริมธาร" ดังกล่าวในปีพ.ศ.2558 ก่อนถูกดำเนินคดีในปี พ.ศ.2559 ถึงแม้นายสมานฯอ้างว่าซื้อแค่สิ่งปลูกสร้าง ไม่ได้ซื้อที่ดินอุทยานแห่งชาติเขาแหลม แต่สิ่งปลูกสร้างรีสอร์ทดังกล่าว เป็นอสังหาริมทรัพย์ มีลักษณะตรึงตราถาวร ติดอยู่กับที่ดินอุทยานแห่งชาติเขาแหลม จึงเป็นส่วนควบของที่ดินอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ตามประมวลกฎหมายเพ่งและพาณิชย์ มาตรา 144 และคำพิพากษาฎีกาที่ 892/2490 ได้วางบรรทัดฐานไว้ว่า สิ่งปลูกสร้าง ที่มีลักษณะตรึงตราถาวรในที่ดิน และปลูกสร้างในที่ดินของผู้อื่นโดยมิได้รับอนุญาต ย่อมเป็นส่วนควบของที่ดินนั้น จึงถือได้ว่า นายสมานฯ ซื้อสิ่งปลูกสร้างรีสอร์ท"กระท่อมริมธาร"ดังกล่าวควบที่ดินอุทยานแห่งชาติเขาแหลมไปด้วย จึงเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายอุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562ในมาตรา 19 (1 ) ห้ามมิให้ผู้ใด ยึดถือ ครอบครองหรือกระทำประการใดๆในเขตอุทยานแห่งชาติโดยมิได้รับอนุญาต ระวางโทษจำคุก 4 ปีถึง 20 ปี ปรับตั้งแต่4 แสนบาทถึง2ล้านบาท หรือทั้งจำและปรับ ประกอบกับนายสมานฯพร้อมด้วยทนายความได้มาแสดงตัวด้วยตนเอง และชี้แนวเขตรังวัดเนื้อที่ จำนวน 1ไร่ และอ้างสิทธิสิ่งปลูกสร้างที่เป็นรีสอร์ท " กระท่อมริมธาร" จำนวน 4 หลังที่ยังไม่ได้รื้อถอน เป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง ซึ่งเป็นส่วนควบของที่ดินอุทยานแห่งชาติเขาแหลม เพื่อขออยู่อาศัย การกระทำดังกล่าวยิ่งแสดงเห็นได้ชัดเจนว่านายสมานฯมีเจตนาอย่างชัดแจ้ง ในการยึดถือ ครอบครอง หรือกระทำด้วยประการใดๆ ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม โดยมิได้รับอนุญาต
ส่วนนายกิตติพงษ์ฯ นางสมหวังฯนางต้องตาฯ รู้อยู่แล้วว่าที่ดินดังกล่าวตนเองไม่มีเอกสารกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครอง ตามกฎหมายในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม และอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ก็ได้ประกาศจัดตั้งในราชกิจจานุเบกษาใน ปีพ.ศ.2534 และได้ปิดประกาศแจ้งให้ประชาชนในท้องถิ่นทราบโดยทั่วไปแล้ว จึงถือได้ว่าบุคคลทั้ง 3 คนรู้แล้วว่าสิ่งปลูกสร้างรีสอร์ท"กระท่อมริมธาร"อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกา ที่ 3009/2537 แต่ยังได้ทำหนังสือสัญญาขายสิ่งปลูกสร้างที่เป็นรีสอร์ท "กระท่อมริมธาร"ที่อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลมโดยมิได้รับอนุญาต ให้กับนายสมานฯอีก ทำให้นายสมานฯ มีข้ออ้างในการเข้ามายึดถือ ครอบครอง หรือกระทำด้วยประการใดๆ ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ในบริเวณดังกล่าวได้ บุคคลทั้งสามจึงเป็นผู้ร่วมสนับสนุนในการกระทำผิดดังกล่าว ระวางโทษ 2 ใน 3 สำหรับความผิดที่ได้สนับสนุนนั้น
ผู้อำนวยการสำนักบริหารอนุรักษ์ที่ 3( บ้านโป่ง)และหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลมยังได้แจ้งว่าอยากให้ทาง DSI มาช่วยสอบสวนในเรื่องนี้ด้วย เนื่องจากเป็นคดีที่ซับซ้อน ในข้อกฎหมาย ผู้กระทำผิด มีทนายความที่ชำนาญด้านกฎหมายอย่างมาก คอยแนะนำ และช่วยเหลือ อยู่ตลอดเวลา แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ทาง ผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 3 (บ้านโป่ง)และหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาแหลมจะต่อสู้คดีกับนายทุนถึงที่สุด เพื่อปกป้องรักษาไว้ซึ่งทรัพยากรสมบัติของชาติเพื่อเหลือเอาไว้ให้กับลูกหลาน ของคนไทย ใน อนาคต เพื่อเป็นแหล่งต้นน้ำลำธารของประชาชนคนไทยทุกคน ตามนโยบายของท่านรัฐมนตรีฯดังกล่าว ต่อไป