"นักธุรกิจชาวจีน" พร้อมพ่อหอบรูปตามหาลูกชาย หลังภรรยาชาวไทยพาหลบหนี
30 พ.ย. 2563, 11:43
หนุ่มนักธุรกิจชาวจีน พร้อมพ่อ หอบรูปลุกชายตามหาลูกตามแหล่งท่องเที่ยวในเมืองเชียงใหม่ พร้อมนำรูปลูกชายติดตามรถประกาศหาลูกชายวัย 4 ขวบ หลังผู้เป็นแม่พาหนี นานเกือบ 2 เดือนไม่ได้ไปเรียนหนังสือเกือบครึ่งเดือน และพยายามติดต่อแต่ไม่มีการตอบรับจึงตัดสินใจออกตามหาเอง หวังชาวบ้านที่พบเห็นแจ้งเบาะแส โดยก่อนหน้านี้ ฝ่ายภรรยาฟ้องหย่าเรียกร้องค่าดูแลบุตรเป็นเงิน 21 ล้านบาท แต่ฝ่ายพ่อได้ยื่นคำให้การและฟ้องแย้ง ในระหว่างพิจารณาคดี ศาลได้มีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเรื่องอำนาจปกครองบุตร โดยศาลกำชับให้คู่ความทั้งสองฝ่ายปฏิบัติตามคำสั่งศาล แต่ฝ่ายแม่กลับพาลูกชายหนีไปเกือบ 2 เดือน
นายเจี่ยง เชาว์ นักธุรกิจชาวจีน พร้อมด้วยพ่อวัยชรา วัย 65 ปีสวมเสื้อยืดที่สกรีนรูปน้องเจม ได้นำรูปของเด็กชาย เจม (นามสมมุติ ) อายุ 4 ขวบ ติดตามรถกระบะขับไปตามแหล่งท่องเที่ยวในเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเป็นสถานที่ ที่นายเจี่ยง เคยพาลูกชายมาเที่ยวเป็นประจำ พร้อมกันนี้คุณปู่น้องเจมฯ ได้นำรูปของหลายชายเดินสอบถามกับนักท่องเที่ยว บริเวณข่วงประตูท่าแพ เพื่อหาเบาะแสหลานชายโดยหวังว่านักท่องเที่ยวและชาวบ้านตลอดจนโลกโซเชี่ยล จะช่วยแจ้งเบาะแสของน้องเอมฯ หลังแม่พาลูกชายหนีนานเกือบ 2 เดือน
โดยนายเจี่ยงฯ เล่าว่าตนและพ่อพยามติดตามหาน้องเอมฯ ทั้งเดินทางไปหาที่บ้านภรรยาใน อ.แม่ริม แต่ก็ไม่พบตัวลุกชายและภรรยา ซึ่งทุกวันตนพยายามโทรศัพท์หาและวีดีโอคอล หาภรรยาวันนับ 50 ครั้งหวังจะได้พูดคุยกับลูกชาย แต่ภรรยาก็ไม่รับสาย ส่งข้อความไปในไลน์ก็ไม่ยอมอ่าน เมื่อตนติดต่อไปที่โรงเรียนของลูกชาย ทางโรงเรียนแจ้งว่าน้องเจมฯไม่มาเรียนหนังสือตั้งแต่วันที่ 12 พฤศจิกายน แล้ว ทำให้ตนและพ่อยิ่งเกิดความกังวลใจเป็นอย่างมากจนพ่อมีอาการซึมเศร้า กินไม่ได้ นอนไม่หลับ เนื่องจากคิดถึงหลายชาย ตนกับพ่อได้ปรึกษาพูดคุย จึงตัดสินใจออกตามหาลูกชายด้วยตนเอง ซึ่งมีความหวังว่าจะได้พบลูกชายอีกครั้งหนึ่ง
ด้านทนายความของนายเจี่ยง เชาว์ เปิดเผยว่า ลูกความของตนถูกภรรยาชาวไทย ยื่นฟ้องหย่า พร้อมกับเรียกร้องค่าเลี้ยงดู และสิทธิในการครอบครองบุตรแต่เพียงผู้เดียว โดยที่ฝ่ายชายไม่ได้มีเจตนาหย่าแต่อย่างใด ซึ่งฝ่ายหญิงเรียกร้องค่าเลี้ยงดูลูกมาเป็นจำนวนเงิน 100,000 บาทต่อเดือนจนกว่าบุตรจะบรรลุนิติภาวะ หรือเรียนจบ ป.ตรี หรือจนกว่าจะหารายได้ด้วยตนเอง รวมเป็นเงินราว 21.6 ล้านบาท
แต่ทั้งนี้ฝ่ายชายก็พร้อมหย่าและชำระค่าเลี้ยงดูลูกส่วนอำนาจปกครองบุตรต้องแบ่งกันเลี้ยงดู ต่อมานายเจี่ยงฯ ได้ยื่นคำให้การและฟ้องแย้ง จนวันที่วันที่ 3 พฤศจิกายน 2563 ศาลได้ไกล่เกลี่ยทั้งสองฝ่าย ซึ่งผู้ศาลได้พิจารณาแล้วจึงมีความเห็นว่าในระหว่างดำเนินคดีให้ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงปกครองบุตรร่วมกัน ซึ่งให้สิทธิ์แม่วันจันทร์ถึงวันพฤหัสบดีและให้สิทธิ์พ่อวันศุกร์ถึงวันอาทิตย์ ซึ่งศาลไม่สามารถให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถือสิทธิในการปกครองบุตรแต่เพียงฝ่ายเดียวตามที่ฝ่ายหญิงเรียกร้อง ศาลจึงมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวในเรื่องอำนาจปกครองบุตรในกระบวนพิจารณาว่าฝ่ายหญิงมีอำนาจกำหนดที่อยู่ของบุตรในวันจันทร์ถึงศุกร์ส่วนฝ่ายชายสามารถมาอยู่ร่วมกับฝ่ายหญิงและบุตรได้ ส่วนวันเสาร์อาทิตย์ฝ่ายชายมีอำนาจกำหนดที่อยู่ของบุตร และฝ่ายหญิงสามารถมาอยู่ร่วมกับฝ่ายชายและบุตรได้ ซึ่งข้อความตรงนี้กำหนดชัดเจนสิทธิ์ของทั้งสองฝ่ายไว้อยู่แล้ว และให้ใช้คำสั่งชั่วคราวนี้จนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา ซึ่งคำสั่งดังกล่าวนั้นศาลมีเจตนารมณ์ที่จะต้องการให้ทั้งสองฝ่ายพยายามอยู่ด้วยกันและแก้ไขปัญหาครอบครัว ลูกควรมีทั้งพ่อและแม่ นับแต่ศาลมีคำสั่งเป็นต้นมา ผลปรากฏว่าฝ่ายหญิงไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งศาลพาลูกลูกหนีไม่ให้ฝ่ายชายพบ และไม่ยอมพาลูกโรงเรียน
ซึ่งปัจจุบันฝ่ายชายยังคงไม่ได้พบลูก และยังคงร้องไห้นอนไม่หลับ พ่อของเขาซึ่งเป็นคุณปู่ก็ไม่สบายรอพบเจอกับหลานชาย การกระทำของฝ่ายหญิงเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมาย และเขารู้สึกว่าเป็นการรังแกคนต่างชาติ ซึ่งการกระทำของแม่เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง ทุกวันนี้เขาครุ่นคิดแต่คิดถึงลูก กินไม่ได้นอนไม่หลับ จึงออกตามหาไปในสถานที่ต่างๆอีกครั้ง โดยติดป้ายประกาศหาลูก เดินทางไปตามสถานที่ต่าง ๆ ในเชียงใหม่ ที่คาดว่าฝ่ายหญิงจะพาลูกไปพัก และมีความหวังว่าจะได้เจอลูกโดยเร็ว และหวังให้ประชาชนและที่พบเห็นช่วยเป็นกระบอกเสียงอีกทางหนึ่งในการตามหาลูก