เปิด ปิด การใช้งานคุกกี้ของ ทรูฮิต (Truehits Cookies)




ในหลวง-พระราชินี เสด็จฯ สถานทูตออสเตรเลีย ทอดพระเนตรสารคดีเฉลิมพระเกียรติ


16 ก.พ. 2564, 09:21





ในหลวง-พระราชินี เสด็จฯ สถานทูตออสเตรเลีย ทอดพระเนตรสารคดีเฉลิมพระเกียรติ



เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 19.11 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี เสด็จพระราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง จากพระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต ไปทอดพระเนตรวีดิทัศน์เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขณะทรงศึกษาในเครือรัฐออสเตรเลีย ณ ทำเนียบเอกอัครราชทูตเครือรัฐออสเตรเลียประจำประเทศไทย เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร

เวลา 19.23 น. เสด็จพระราชดำเนินถึงทำเนียบเอกอัครราชทูตเครือรัฐออสเตรเลียประจำประเทศไทย  นายแอลลัน เจมส์ มักคินนัน เอกอัครราชทูตเครือรัฐออสเตรเลียประจำประเทศไทย พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่การทูต และเจ้าหน้าที่ประจำสถานเอกอัครราชทูตเครือรัฐออสเตรเลียประจำประเทศไทย และคู่สมรส เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ
 


จากนั้น เสด็จเข้าห้องประทับรับรอง ทรงลงพระปรมาภิไธย และพระนามาภิไธย ในสมุดที่ระลึก แล้วเสด็จพระราชดำเนินไปยังห้องพิธี เอกอัครราชทูตเครือรัฐออสเตรเลียประจำประเทศไทย กราบบังคมทูลถวายพระพรชัยมงคล และเชิญชวนแขกผู้มีเกียรติดื่มถวายพระพรแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินี

ต่อจากนั้น เอกอัครราชทูตเครือรัฐออสเตรเลียประจำประเทศไทย ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายของที่ระลึก และกราบบังคมทูลรายงานเกี่ยวกับสารคดีเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขณะทรงศึกษาในเครือรัฐออสเตรเลีย พร้อมทั้งกราบบังคมทูลเชิญทอดพระเนตรวีดิทัศน์สารคดีเฉลิมพระเกียรติ และกราบบังคมทูลเชิญเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรนิทรรศการภาพถ่าย “การเสด็จพระราชดำเนินเยือนเครือรัฐออสเตรเลียของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เมื่อปี 2505 และ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในเครือรัฐออสเตรเลีย” ตามลำดับ สมควรแก่เวลา จึงเสด็จพระราชดำเนินไปประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินกลับ

ทั้งนี้ วีดิทัศน์สารคดีเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขณะทรงศึกษาในเครือรัฐออสเตรเลีย ดำเนินการจัดทำโดยสถานเอกอัครราชทูตเครือรัฐออสเตรเลียประจำประเทศไทย มีเนื้อหาเกี่ยวกับพระราชจริยวัตรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขณะทรงศึกษาระดับเตรียมทหาร ณ คิงส์สกูล เขตพารามัตตา นครซิดนีย์ และวิทยาลัยการทหารชั้นสูง ที่วิทยาลัยการทหารดันทรูน กรุงแคนเบอร์รา โดยนำเสนอภาพเหตุการณ์ในขณะนั้น และบทสัมภาษณ์พระสหายร่วมชั้นของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งในเวลาต่อมา พระสหายร่วมชั้นหลายคน ได้เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในกองทัพและรัฐบาลออสเตรเลีย

ประเทศไทยและเครือรัฐออสเตรเลีย มีความสัมพันธ์ที่ดีและใกล้ชิดตั้งแต่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต เมื่อวันที่ 19  ธันวาคม 2495 ซึ่งจะครบ 69  ปี ในปี 2564  โดยมีความร่วมมือครอบคลุมเกือบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการทูต การทหาร การค้า การลงทุน และความเชื่อมโยงระหว่างประชาชน มีการแลกเปลี่ยนการเยือนของบุคคลระดับสูงระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง โดยประเทศไทยมีบทบาทสำคัญ และเป็นพันธมิตรที่สำคัญของเครือรัฐออสเตรเลียในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมาโดยตลอด
 

นอกจากนี้ ยังมีความสัมพันธ์อันดีในเชิงประวัติศาสตร์จากการที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งทรงดำรงพระราชอิสริยยศ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณ และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเข้าศึกษาวิชาการทหารตามที่ทรงตั้งพระราชหฤทัย ณ เครือรัฐออสเตรเลีย โดยทรงเข้ารับการศึกษาระดับเตรียมทหาร ที่คิงส์สกูล เขตพารามัตตา นครซิดนีย์ ระหว่างเดือนสิงหาคม 2513 ถึงเดือนพฤษภาคม 2514 และทรงเข้าศึกษาในวิทยาลัยการทหารชั้นสูง ที่วิทยาลัยการทหารดันทรูน กรุงแคนเบอร์รา ระหว่างเดือนพฤษภาคม 2515 ถึงเดือนธันวาคม 2519 และทรงได้รับปริญญาอักษรศาสตรบัณฑิต (การศึกษาด้านการทหาร) คณะการศึกษาด้านการทหาร จากมหาวิทยาลัยนิวเซาท์เวลส์


นอกจากนั้น ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนเครือรัฐออสเตรเลียอย่างเป็นทางการ พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ระหว่างวันที่ 26 สิงหาคม – 12 กันยายน 2505 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่พระประมุขจากประเทศไทย เสด็จพระราชดำเนินเยือนเครือรัฐออสเตรเลีย โดยทั้งสองพระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนเกือบทุกรัฐของเครือรัฐออสเตรเลีย นับเป็นการเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เรื่องราวของการเสด็จพระราชดำเนินในคราวนั้น ยังคงตราตรึงอยู่ในใจของชาวออสเตรเลียและชาวไทย และก่อเกิดเป็นความสัมพันธ์อันดีที่ต่อยอดเป็นโครงการความร่วมมือด้านต่าง ๆ ที่มีมาจนถึงปัจจุบัน
 










©2018 ONBNEWS. All rights reserved.