เปิด ปิด การใช้งานคุกกี้ของ ทรูฮิต (Truehits Cookies)



เสีย 2 หมื่นห้าไปไม่ถึงชลบุรี! ตะครุบแรงงานชาวเมียนมาได้ 2 คดี ผู้ต้องหา 11 คน


3 ก.ค. 2564, 13:38



เสีย 2 หมื่นห้าไปไม่ถึงชลบุรี! ตะครุบแรงงานชาวเมียนมาได้ 2 คดี ผู้ต้องหา 11 คน




วันนี้ 3 ก.ค.64 ผู้สื่อข่าว ONB news รายงานว่า พ.อ.ยุทธนา มีเจริญ ผบ.ฉก.ลาดหญ้า กกล.สุรสีห์  ได้รับรายงานจาก พ.อ.เฉลิมพล สังข์ต้อง รอง ผบ.ฉก.ลาดหญ้า กองกำลังสุรสีห์ ว่า เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจลาดหญ้า กกล.สุรสีห์ โดยหมวดลาดตระเวนที่ 4 ประจำจุดตรวจช่องเขาหนีบ หมู่ 14 ต.บ้านเก่า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ร่วมกับกองร้อยเคลื่อนที่เร็ว (ร้อย.คร.) กกล.สุรสีห์ เจ้าหน้าที่หมวดลาดตระเวนป้องกันชายแดน (เพิ่มเติมที่1)บ้านพุน้ำร้อน  ชุดปฏิบัติการข่าว กกล.สุรสีห์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองกาญจนบุรี เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองอำเภอเมืองกาญจนบุรี

ร่วมกันจับกุมตัวแรงงานชาวเมียนมา เป็นหญิง จำนวน 3 ราย ประกอบด้วย  นางสาว ทิ ที หลุย อายุ 20 ปี นางสาว หยี ลี่ ไม่มีนามสกุล อายุ 30 ปี และนาวสาว อิ แตน นา มิว ไม่มีนามสกุล อายุ 23 ปี พร้อมของกลางรถจักรยานยนต์ สี แดง-ดำ หมายเลขทะเบียน 1 กญ 1461 กาญจนบุรี ที่ใช้เป็นพาหนะในการหลบหนีเข้ามาเมืองโดยผิดกฎหมาย จำนวน 1 คัน เหตุเกิดที่ถนนสายบ้านห้วยน้ำขาวหมู่ 15 ต.บ้านเก่า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี



ทั้งนี้สืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้รับแจ้งจากสายข่าวว่า จะมีผู้นำพาแรงงานชาวเมียนมา ลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายด้วยการใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะ โดยใช้เส้นทางผ่านเข้าออกบ้านห้วยน้ำขาว หมู่ 15 ต.บ้านเก่า หลังจากได้รับแจ้งเจ้าหน้าที่จึงสนธิกำลังลาดตระเวนเพื่อออกหาข่าวพร้อมกับซุ่มโป่งตามเส้นทางต้องสงสัยว่าผู้นำพาจะขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่าน

และในที่สุดเจ้าหน้าที่ชุดซุ่มโป่ง พบแสงไฟจากหน้ารถจักรยานยนต์กำลังมุ่งหน้ามา เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวพร้อมส่งสัญญาณเพื่อเรียกให้หยุด แต่ปรากฏว่าเมื่อคนขับขี่เห็นเจ้าหน้าที่จึงเลี้ยวกลับพร้อมกับเร่งเครื่องหลบหนี เจ้าหน้าที่จึงได้ติดตามไปอย่างกระชั้นชิด เมื่อคนขับเห็นว่าคงหนีไม่พ้น จึงจอดอย่างกะทันหันจนรถจักรยานยนต์ล้ม แล้วอาศัยความมืดวิ่งหลบหนีไป โดยทิ้งแรงงานหญิงทั้ง 3 คนเอาไว้ที่จุดเกิดเหตุ ซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวเอาไว้ได้ และจากการตรวจวัดอาการไข้พบอุณหภูมิไม่เกิน 37.5 องศาฯ

 


โดยแรงงานทั้ง 3 ให้การในเบื้องต้นว่า เดินทางมาจากเมือง เอรวดี ประเทศเมียนมา หลบหนีข้ามชายแดนเข้ามาในประเทศไทยเพื่อมุ่งหน้าไปทำงานในพื้นที่ จ.ชลบุรี โดยได้จ่ายเงินให้กับนายหน้าที่เป็นชาวเมียนมา ด้วยกันไปแล้วคนละ 25,000 บาท

หลังจากผู้ต้องหาให้การยอมรับสารภาพเจ้าหน้าที่จึง นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองกาญจนบุรี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย ฐาน ลักลอบเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และฝ่าฝืน คำสั่งคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดกาญจนบุรี ที่ 5522/2563 ลงวันที่ 29 ธ.ค.63 และฝ่าฝืน พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558

ส่วนรถจักรยานยนต์เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบต่อไปว่าใครเป็นผู้ครอบครอง เมื่อทราบก็จะรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อขออนุมัติหมายจับต่อไป

พ.อ.เฉลิมพล สังข์ต้อง รอง ผบ.ฉก.ลาดหญ้า กกล.สุรสีห์ เปิดเผยว่า ล่าสุดเมื่อเวลา 10.00 น.ที่ผ่านมา คณะเจ้าหน้าที่ชุดเดียวกัน ได้ร่วมกันจับกุมแรงงานชาวเมียนมา ได้อีก จำนวน 8 คน เป็น ชาย 1 คน และหญิง 7 คน พร้อมรถยนต์กระบะที่ใช้เป็นพาหนะยี่ห้อโตโยต้า วีโก้ ตอนครึ่ง สีดำ หมายเลขทะเบียน 2ฒล 9023  กทม. โดยมีนาย วิน ไม่มีนามสกุล สัญชาติมอญ อายุ 35 ปี 1 ใน 8 ผู้ต้องหาเป็นคนขับและเป็นผู้นำพาแรงงานชาวเมียนมา เข้ามาในราชอาณาจักรไทยโดยผิดกฎหมาย เหตุเกิดที่บริเวณบ้านหนองบ้านเก่า หมู่ 7 ต.บ้านเก่า อ.เมือง จ.กาญจนบุรี ที่ พิกัด 226386

ทั้งนี้สืบเนื่องคณะเจ้าหน้าที่ข้างต้น ได้รับแจ้งจากสายข่าวว่า จะมีการลักลอบนำพาแรงงานต่างด้าวชาวเมียนมา หลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ด้วยการใช้รถยนต์กระบะคันสีดำเป็นพาหนะ โดยกลุ่มแรงงานชาวเมียนมา เป็นกลุ่มเดียวกันกับ 3 สาวชาวเมียนมา ที่ถูกจับกุมข้างต้น

เมื่อทราบพิกัดเจ้าหน้าที่จึงสนธิกำลังกันตั้งจุดสกัด จนกระทั่งพบรถยนต์กระบะคันดังกล่าววิ่งเข้ามาทางจุดสกัด  เมื่อคนขับเห็นเจ้าหน้าที่ ได้หยุดรถแล้วเลี้ยวเข้าไปภายในซอยที่เป็นทางลูกรัง เจ้าหน้าที่จึงขับรถติดตามไปอย่างกระชั้นชิดและสามารถจับกุมคนขับและแรงงานจำนวนดังกล่าวเอาไว้ได้ จากการตรวจวัดอุณหภูมิร่างกาย ผู้ต้องหาเบื้องต้น ไม่พบอุณหภูมิร่างกายสูงเกิน 37.5 องศาเซลเซียส

และจากการสอบถามผู้ต้องหา ให้การว่าพวกตนเดินทางมาจากเมือง เอรวดี ประเทศเมียนมา เพื่อจะไปทำงานในพื้นที่ จ.ชลบุรี โดยได้จ่ายเงินให้กับนายหน้าชาวเมียนมา ด้วยกันไปแล้วคนละ 25,000 บาท แต่สุดท้ายก็มาถูกเจ้าหน้าที่สกัดจับได้เสียก่อน

 

 






Recommend News






MOST POPULAR


























©2018 ONBNEWS. All rights reserved.