หมอหนุ่มโพสต์เล่าเคสทำใจยาก แม่ขอแลกชีวิตเพื่อลูกน้อย หลังรู้ตัวเป็นโรคร้ายขณะตั้งครรภ์
10 ก.ย. 2562, 10:14
หลายครั้งที่การเกิดของทารกตัวน้อย นำพารอยยิ้มมาสู่ทุกคนในครอบครัว แล้วถ้าการเกิดของทารกตัวน้อย นำพาน้ำตามาด้วยล่ะ นายแพทย์หนุ่ม ผู้ใช้งานเฟซบุ๊กชื่อว่า "อรัณ ไตรตานนท์ โต๊ะทำงาน" ล่าสุดได้ออกเล่าเผยความคืบหน้า ของเคสคนไข้ ซึ่งเป็นคุณแม่ท่านหนึ่ง ตั้งครรภ์พบมีมะเร็งปากมดลูก คุณหมอแนะนำให้ยุติการตั้งครรภ์ เพื่อจะได้รีบรักษาชีวิตของแม่ คุณแม่ขอตั้งครรภ์ต่อไป ไม่ยอมเอาเด็กออก อยากให้ลูกเกิดมาดูโลก ลูกคือแก้วตาดวงใจ แม้จะเสี่ยงต่อการต้องเสียชีวิตแม่
“หมอคะ อยากหอมแก้มลูก ขอครั้งเดียวก็ได้” เป็นคำพูดที่ยังก้องอยู่ในหู จนทุกวันนี้ อยากให้เป็นเพียงแค่ความฝัน ตื่นขึ้นมาแล้วทุกอย่างจบ แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ครับ เพราะมันเป็นเรื่องจริง เกิดมาจนแก่ป่านนี้ ลุงหมอไม่เคยคิดเลยครับ ว่าจะได้มาเจออะไรแบบนี้ จริงอยู่ลุงหมอเป็นหมอสูติ ดูแลคนท้อง จริงอยู่ลุงหมอเป็นหมอมะเร็งดูแลคนไข้มามากมาย
แต่… ผมไม่เคยแม้แต่จะคิดว่า สองวิชาที่เรียนมานั้น จะต้องมาใช้ความรู้ในการดูแลคนท้อง และมะเร็ง ในคนคนเดียว…เศร้าใจเหลือเกิน การดูแลหญิงตั้งครรภ์เราควรจะมีความสนุก ตื่นเต้น และลุ้น ๆ ไปด้วยกันไม่ใช่หรือ?ทำไมฟ้าต้องส่งเรื่องราวแสนเศร้าแบบนี้มาด้วยล่ะครับ
เจ็บปวดเพียงใดหนอ หากคนที่รักที่สุด ที่ตั้งตาจะได้พบเจอ แค่เพียงชั่วครู่ แล้วต้องจากกันนิรันดร… มันช่างหดหู่เกินจะบรรยาย
ไม่มีแม่คนไหน อยากคลอดลูกออกมา แล้วเฝ้ามองลูกเติบโตจากบนฟากฟ้าหรอกครับ
ทุกคนอยากให้นม อยากเห็นหน้า อยากใช้ทุกวินาทีอยู่กับลูกน้อย อยากพาไปเข้าโรงเรียน อยากซักผ้าให้ทุกวัน
อยากเลือกเสื้อผ้าที่น่ารักให้ลูกใส่ อยากป้อนข้าว อยากเห็นลูกหัดเดิน อยากดูแลในทุกห้วงของความห่วงใย แม่ทุกคนอย่างอยู่ในทุกเหตุการณ์สำคัญ จริงไหมครับ?
แต่โลกของเรา อาจจะมีคุณแม่บางคนที่โชคร้าย ไม่ได้รับพรศักดิ์สิทธิ์ให้ทำหน้าที่นั้นนั้น เธออาจจะไม่มีโอกาสทำในสิ่งที่อยากทำให้ลูก เหมือนคุณแม่คนอื่น ๆ
ระหว่างนั่งตรวจคนไข้ไปเรื่อย ๆ วันหนึ่งผมได้เจอผู้หญิงอายุราว 32 ปี เป็นคนจังหวัดสระแก้ว ย้ายมาทำงานแถว ๆบางพลี สามีเธอเป็นหัวหน้าฝ่ายผลิตอุปกรณ์อะไรสักอย่าง ย้ายมาจากนิคมอุตสาหกรรม 304
สามีย้ายมาช่วยนายจ้างบุกเบิกเนื่องจากเปิดโรงงานใหม่ เป็นคนดี ขยันทำงาน รู้เรื่องเครื่องจักรกล จึงได้โอกาสเติบโตจนเป็นหัวหน้างาน เธอจึงย้ายมาอยู่ด้วย ได้เป็นพนักงานจัดซื้อ แต่งงานกันมา 5 ปี จึงตั้งครรภ์ ดีใจกันมาก
เพราะวันที่รู้ว่าท้องเป็นวันเกิดของสามีพอดี ระหว่างฉลองฮาเฮ ตามประสา ชาวโรงงาน เธออาเจียนบ่อยจึงไปหาหมอ หมอก็เก่งส่งตรวจฉี่ เฉลยออกมาว่า ตั้งครรภ์ กรี๊ดกันทั้งบ้าน โอ้โห ได้ของของขวัญวันเกิดน่ารักเนอะ
ก็ฝากครรภ์กันตามปกติ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ อยู่มาวันหนึ่งช่วงอายุครรภ์ 16 สัปดาห์ เธอนอนเล่น ในเช้าวันเสาร์ ชอบดูทีวี แต่ อยู่ดี ๆ ก็มีเลือดออกช่องคลอด ไม่มีอาการปวดท้อง ไม่มีปัญหาอื่นเลย มีแต่เลือดออกอย่างเดียว
ตกใจกันมาก จึงรีบไป รพ. บังเอิญวันนั้นลุงหมอนั่งตรวจพอดีครับ จังหวะเหมาะจึงได้พบกัน ผมแอบลัดขั้นตอน ขอตรวจอัลตราซาวด์ดูหน่อย ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรผิดปกติครับ ต่อมาก็ขอตรวจภายใน ใส่อุปกรณ์หน้าตาคล้ายปากเป็ดเข้าไปดูในช่องคลอด น้ำตาแทบไหลเลยครับ
ลุงหมอเห็นก้อนเนื้องอกโตขึ้นจากปากมดลูกราว ๆ 2-3 ซม. หน้าตาคล้ายผักบล๊อกเคอรี่ ผิวขรุขระ มีเลือดไหลออกมาจากก้อนเนื้องอกนี้แบบซึม ๆ ครับ เลือดออกช้ามาก ๆ ด้วยความที่เป็นหมอครับ เห็นแบบนี้ผมวินิจฉัยทันที
นี่คือมะเร็งปากมดลูกแน่ ๆ
ใจหายครับ รู้สึกอึ้ง ไม่รู้จะบอกคนไข้ว่าอย่างไร การบอกรักด้วยข่าวร้าย เป็นสิ่งที่ลุงหมอเกลียดมากครับ ด้วยความเป็นแพทย์จึงต้องเงียบไว้ก่อนอ่ะครับ บอกคนไข้ตรง ๆ ว่ามีก้อนที่ปากมดลูกขอตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ เนื่องจากเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็ง การตัดนี่เราเรียกว่า ไบ-อ๊อพ-ซี่ รอผลตรวจ ราวสองสัปดาห์ เฉลยมาว่าเธอเป็นมะเร็งจริง ๆ ครับ
แต่… นี่คนไข้ของผมกำลังท้องอยู่นะ ทำไมเทวดาไม่ช่วยเธอล่ะ ผมตรวจภายในอย่างรอบคอบ และส่งตรวจสุขภาพชุดใหญ่ ปรากฏว่าเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะที่ 1 ช่วงปลายครับ เรียกว่าระยะหนึ่งบี ซึ่งการรักษา ผมแนะนำเธอผ่าตัดโดยเร็ว และแนะนำให้ยุติการตั้งครรภ์ก่อนการผ่าตัด พูดตามตรงนะครับวิธีการรักษารายนี้ค่อนข้างซับซ้อน
แพทย์อาจจะต้องยุติการตั้งครรภ์แล้วรีบนัดผ่าตัดเพื่อรักษามะเร็ง เพื่อเซฟชีวิตของแม่ก่อนที่มะเร็งจะลุกลาม แพทย์อาจจะต้องส่งตัวไปฉายแสง ทั้ง ๆ ที่มีทารกอยู่ในมดลูกเพื่อรักษาโรค แต่ผลที่ตามมาก็คือทารกจะเสียชีวิตในครรภ์ครับ
เศร้าทุกวิธีครับ ไม่อยากเลือกสักทางเลยครับผม เคสนี้ผมไม่กล้าดูแลเองครับ ผมเขียนใบส่งตัวไปรักษา
ในกรุงเทพ ที่ รพ. ที่เป็นโรงเรียนแพทย์ชั้นนำครับ ขอฝากชีวิตไว้กับอาจารย์แพทย์ก็แล้วกันนะครับ วันนั้นคนไข้ร้องไห้ราวกับ หัวใจแตกสลาย
เราคงไม่อาจจะเข้าใจความรู้สึกของเธอได้หรอกครับ แต่ผมคิดว่าคงทุกข์ทรมานใจอย่างสุดแสน คล้ายกับหอกหรือดาบ กรีดลงบนหัวใจ ที่กำลังมีความรักอันแสนบริสุทธิ์ของเธอ เธอไม่ยอมยื่นมือมารับจดหมายส่งตัวจากผม
แม้ว่าจดหมายนี้จะทำให้เธอไปเจอแพทย์ที่เก่งกาจที่สุดของประเทศไทย เธอไม่ยอมยื่นมือมารับจดหมายส่งตัวจากผม แม้ว่าจดหมายนี้จะทำให้เธอได้รับการรักษา แบบไม่ต้องชำระเงินแม้แต่บาทเดียว
เธอไม่ยอมยื่นมือมารับจดหมายส่งตัวจากผม ทำไมล่ะครับ ? เพื่อน ๆ ที่กำลังอ่านอยู่นี้ ท่านที่เคยเป็นแม่คน
คงพอเข้าใจนะครับว่าจดหมายนี้ จะนำไปสู่การทำลายชีวิตน้อย ๆ ที่เธอรัก แม้ว่าจะเป็นจดหมายที่จะช่วยชีวิตเธอ
แต่เธอก็ไม่ยอมยื่นมือมารับ
สามีที่กำลังตาแดง ๆ เหมือนจะร้องไห้ ภายในใจคงสุดแสนทรมานไม่ต่างกันเลย แต่คงต้องทำตัวให้เข้มแข็ง
เป็นที่พึ่งให้ภรรยา เป็นที่พึ่งให้แก้วตาดวงใจ ที่ไม่มีโอกาสตะโกนเรียกชื่อพ่ออีกแล้ว หัวใจของครอบครัวนี้จะชอกช้ำเพียงใดหนอ
ผมก็คงดูแลได้เพียงเท่านี้ครับ เนื่องจากเกินความสามารถที่ลุงหมอจะช่วยได้ สามีที่กำลังตาแดง ๆ เหมือนจะร้องไห้
ยกมือไหว้แบบมือสั่น ๆ แล้วรับจดหมายไปจากผม เมื่อทั้งสองเดินออกจากห้องตรวจไป ผมก็แอบยกมือไหว้ขอพรจากฟ้า ขอให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองครอบครัวนี้ด้วยเถอะ
แต่เรื่องราวไม่จบเพียงเท่านั้น สองสัปดาห์ต่อมา สามีภรรยาคู่เดิม กลับเข้ามาขอพบผมอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่มีน้ำตาให้เห็น แต่กลับมีรอยยิ้มที่สดใส คุณแม่ยื่นซองจดหมายที่คุ้นตามาให้ผม
“หมอคะ หนูไม่ไปรักษาค่ะ
ขอฝากครรภ์ต่อ ขอคลอดลูกแล้วยอมตายค่ะ
หนูขอให้คุณหมอช่วยทำให้หนูได้หอมแก้มลูกนะคะ
ครั้งเดียวก็ได้ค่ะ จากนั้นหนูจะตายหนูก็ยอม”
บีบหัวใจมากครับ… เหตุการณ์ทำนองนี้ผมเจอบ่อย ๆ แต่เคสนี้ผมอึ้ง พูดไม่ออก จริง ๆ อยากจะร้องไห้
ให้หายอึดอัดจริง ๆ ครับเพื่อน ๆ
ผมกระซิบคุณพยาบาลว่า ฝากส่งคนไข้ข้างนอกที่รอผม ไปตรวจกับคุณหมอท่านอื่น ผมคงต้องใช้เวลาในการสนทนากับเคสนี้นานแน่ ๆ
กล่อมอยู่นานครับ ผมใช้ทักษะในการสนทนา ใช้กลวิธีทุกอย่าง งัดมุข ทุกมุข ที่ผมคิดออก ทั้งตลก ทั้งแนวดราม่า
ไม่ว่าจะพูดหรือทำอย่างไร ก็ไม่อาจจะทำให้เธอเปลี่ยนใจ สุดท้ายผมเองที่ยอมแพ้ ผมยอมตามใจเธอก็แล้วกัน
ความรักของแม่ยิ่งใหญ่ขนาดไหนครับ ไม่รู้จะเทียบกับท้องฟ้าหรือมหาสมุทรดีครับ ท้องฟ้าหรือมหาสมุทรยังมีจุดสิ้นสุด แต่ความรักจากแม่นี้ หาที่สิ้นสุดไม่เจอ ความรัก ที่ยอมตายแทนกันได้ มันมีอยู่บนโลกนี้จริง ๆ
สำหรับผม มันคือเรื่องเศร้าที่สุดแสนจะงดงาม ผมฉีกจดหมายส่งตัวต่อหน้าสามีภรรยาคู่นี้ เพื่อแสดงให้เธอเห็นว่าเอาวะ! ถ้าเธอพร้อม ฉันก็พร้อม! เรามาสู้ไปด้วยกันนะครับ
จากนั้นเราก็ได้เจอกันในวันนัดฝากครรภ์ตามปกติ ผมให้การรักษาเธอตามอาการ และแนะนำการปฏิบัติตัวสุขศึกษาทั่ว ๆ ไป โดยไม่พูดถึงเรื่องมะเร็งปากมดลูกกับเธออีก สิ่งที่เราทำ ผมไม่แน่ใจว่ามันถูก หรือผิด แต่ขอแนะนำว่า อย่าทำตามเลยครับ มันไม่ค่อยถูกต้องตามหลักวิชาแพทย์ แต่สิ่งที่ผมทำนี้ ผมมั่นใจอย่างเดียวเลยครับ คือผลลัพธ์ที่ได้ คนไข้รายนี้เธอดูมีความสุขเหลือเกิน
สรุปเราตัดสินใจผ่าตัดคลอดช่วงอายุครรภ์ 38 สัปดาห์ เนื่องจากเกรงว่าการคลอดเอง ในรายนี้ อาจจะทำให้ปากมดลูกมีปัญหาใหญ่
เป็นเด็กผู้ชายครับ อ้วนปุ๊กเลยครับ แก้มฟูน่าหยิก ชื่อน้องโปเต้ ชื่อน่ากินมากเลย หลังผ่าตัดคลอดคุณพยาบาลพาน้องโปเต้มาให้คุณแม่ดูว่าน้องเพศอะไร และผูกป้ายข้อมือให้น้องทันที ผมบอกคุณพยาบาลว่า
พาน้องมาให้คุณแม่หอมแก้มหน่อยครับ คุณแม่ที่นอนอยู่บนเตียง ได้รับการบล๊อคหลัง เธอไม่สลบจึงมีสติรู้และได้ยินทุกอย่าง ผมแอบชะโงกหน้าไปมองเธอ
เธอจูบแก้มลูกชายตัวน้อย ที่กำลังร้องไห้เสียงดัง ด้วยความรักใคร่ เสียงจูบ ดังจุ๊บๆๆๆๆๆ ชื่นใจจังเลยครับ ขอบคุณฟ้าที่ประทานพร มอบเด็กชายที่แข็งแรงมาให้คุณแม่ หลังคลอดคุณแม่กับคุณลูกแข็งแรงดี มาติดตามกันตามปกติ
รอจังหวะเหมาะผมจึงพูดเรื่องมะเร็งปากมดลูกอีกครั้ง หลังคลอดราวสองเดือนมดลูกกลับมามีขนาดปกติ รอบนี้ผมประเมินระยะของมะเร็งปากมดลูก น่าจะเป็นระยะที่ 2 ครับ เราได้ส่งตัวเธอไปรักษาที่ รพ. โรงเรียนแพทย์อีกครั้ง
เธอได้รับการรักษาโดยรังสีรักษาร่วมกับเคมีบำบัดอย่างถูกต้องตามมาตรฐาน เพียงแต่ว่าการรักษาช้าไป ราว 5 เดือน เนื่องจากอยู่ระหว่างการตั้งครรภ์
เวลาผ่านไปเร็ว อย่าเสียเวลาไปกับความทุกข์นานนัก ตั้งหลักให้ไว ใช้ทุกวินาทีที่มีค่า เพื่อคนที่เรารักดีกว่านะครับ
เห็นด้วยไหม? ไม่ต้องตอบก็ได้นะครับ ฝากไว้ให้คิดถึง แชร์ได้นะ
ลุงหมอเป็นคนหน้าด้านกับทะลึ่ง ก็เลยชอบไลน์ไปถามคนไข้ว่าสบายดีไหม ? สบายดีไหมจร้ะแม่จ๋า ฉายแสงกับให้เคมีบำบัด และใส่แร่ในช่องคลอดจบแล้วค่ะหมอ ล่าสุดคุณหมอแผนกรังสี ตรวจไม่พบโรคที่ปากมดลูกแล้วค่ะ โอ๊ยน้ำตาลุงหมอแทบจะไหล ช่างคุ้มค่า ที่หน้าด้านไลน์มาตามหาคนไข้ อิ่มเอมใจมาก ๆ ครับ
ผมขอใช้พื้นที่นี้เติมเต็ม คำว่าความรัก ให้ยิ่งใหญ่ เลิกร้องไห้ได้แล้วนะครับ ติดตามดูการเติบโตของลูกน้อยกันเถอะนะ
ขอบคุณเรื่องราวดี ๆ จาก : นายแพทย์อรัณ ไตรตานนท์