"ตาวัย 72 ปี" เคยช่วยหลาน 2 พี่น้อง รอดชีวิตจากฟ้าผ่า แต่มาถึงคราวตัวเองกลับมาโดนฟ้าผ่าดับกลางทุ่งนา
29 ก.ค. 2565, 10:53
วันที่ 28 ก.ค.65. ร.ต.ท.สัณห์เพชร แตงพรม พนักงานสอบสวน สภ.เมืองสระบุรี ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่ามี คนโดนฟ้าผ่า เสียชีวิตอยู่กลางทุ่งนา ที่ หมู่ 7 ต.หนองยาว อ.เมือง จ.สระบุรี จึงได้รุดไปที่เกิดเหตุ พร้อมด้วย แพทย์เวร รพ.สระบุรี และเจ้าหน้าที่กู้ภัยสว่างจุดหนองแซง ก่อนจะถึงที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นกลางทุ่งนา ไกลประมาณ 500 เมตร มีสภาพดินเฉอะแฉะ เนื่องจากฝนตก ต้องให้รถไถมารับ เพื่อไปยังจุดที่เกิดเหตุอย่างทุลักทุเล
เมื่อไปถึงมี ชาวบ้านมุงดูกันเป็นจำนวนมาก พบ ร่างผู้เสียชีวิตเป็นชาย นอนหงายอยู่ใต้ต้นสะเดา สวมเสื้อแขนสั้นลายสก็อต กางเกงขาสั้นสีดำ สวมรองเท้าแตะสีดำ ตรวจสภาพศพ พบ ที่ศรีษะข้างขวามีผมไหม้ ผิวหนังต้นคอเป็นรอยไหม้เสื้อขาดไหม้ และงอบ 1 ใบ อยู่ใกล้กับศพ ตรวจสอบบริเวณโดยรอบพบที่ต้นสะเดาที่มีรอยฟ้าผ่าอยู่ 2-3 ที่ เหนือหัวผู้เสียชีวิต ทราบชื่อ นาย ประภาส ปิ่นทอง อายุ 72 ปี อยู่บ้านเลขที่ 33 ม.6 ต.หนองยาว อ.เมือง จ.สระบุรี (ตามบัตรประบัตรประชาชา) เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้บันทึกภาพไว้เป็นหลักฐาน
เบื้องต้นทราบว่า ตาประภาส ได้ขี่รถจยย.ออกจากบ้านประมาณ 1 กิโล เพื่อมาดูนาข้าว ที่นกชอบลงมากิน ต้องมาคอยไล่ และเนื่องจากระยะนี้มีฝนตกแทบทุกวัน ทำให้นาข้าวมีน้ำขัง ต้องมาคอยสูบน้ำออกจากนาอีก จนกระทั่งมีฝนตกฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ตาประภาส กลับไปที่กระต๊อบ ที่ชาวบ้านทำไว้สำหรับนั่งพัก แต่กลับไปไม่ทัน เนื่องจากมันไกลและฝนตกก่อน จึงทำให้ตาประภาส ต้องนั่งหลบฝนอยู่ใต้ต้นสะเดา ซึ่งอยู่ติดกับนา ของผู้เสียชีวิต ซึ่งในช่วงนั้นมีชาวบ้านได้ยินเสียงฟ้าผ่าคำราม 2-3 ครั้ง จากนั้นฝนได้หยุด มีชาวบ้านเดินออกมาดูนาของตนเองที่มีน้ำขัง อยู่ติดกับนาของตาประภาส ได้เหลือบไปเห็นตาประภาสนอนหงายอยู่ จึงได้เดินเข้าไปดูและเรียกอยู่หลายครั้ง แต่ตาประภาสไม่ขานรับ ชาวบ้านจึงได้รีบไปบ้านบอกกับสามีและเพื่อนบ้าน ให้มาดู แล้วก็พากันเรียกตาประภาสอีก จนรู้ว่าตาประภาสเสียชีวิตแล้ว น่าจะโดนฟ้าผ่า จึงได้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจให้มาตรวจสอบ
ต่อมา ภรรยาและลูกหลานของตาประภาส ทราบข่าว ได้เดินทางมาในที่เกิดเหตุ พอเห็นร่างของตาประภาส ต่างพากันร้องไห้ จนเป็นลม ส่วนศพทางแพทย์และเจ้าหน้าที่ตำรวจจะส่งไปชันสูตรที่สถาบันนิติเวช เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิตให้แน่ชัดอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งการขนศพเป็นไปด้วยความยากลำบากต้องยกขึ้นรถไถ พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจและกู้ภัย ต้องคอยประครองศพไปด้วย
จากเหตุการณ์ดังกล่าวได้เคยเกิดขึ้นกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตเมื่อวันที่ 28 เมษายน 65 ที่ผ่านมา ตาประภาส เคยช่วยเหลือหลานสาวและหลานชาย 2 คน หลังเห็นกับตาว่าถูกสายฟ้าผ่าจนล้มหมดสติ ที่บริเวณกระต๊อบริมทุ่งนา รีบอุ้มร่างขึ้นมานอนทำอะไรไม่ถูก ก่อนที่ตาจะนึกถึงพี่ชายที่เคยโดนสายฟ้าผ่ามาแล้วจนสลบไปหลายวัน เคยเอาเหล้ามาพ่นตัวแล้วอาการดีขึ้นจนหายดี จึงรีบวิ่งไปเอาเหล้าที่มีอยู่ครึ่งขวดอยู่ในบ้านมาพ่นตัวให้หลาน จนหลานทั้ง 2 คนได้สติ จึงได้รีบแจ้งศูนย์กู้ภัยสว่างขอรถพยาบาลสว่างจำนวน 2 คันมารับตัวส่ง รพ.สระบุรีเป็นการด่วน แต่มาวันนี้คาดไม่ถึงว่า ตาประภาส ปิ่นทอง วัย 72 ปี ต้องมาโดนฟ้าผ่าเสียชีวิตกลางทุ่งนา โดยที่ไม่มีใครช่วยได้
นาง ทองใบ ปิ่นทอง อายุ 69 ปี (ภรรยาผู้ตาย) เล่าว่า ตนเสียใจมาก ตอนนั้นผู้ตายเคยช่วยชีวิตหลานสาวกับหลานชายไว้ แต่วันนี้แกกลับมาโดนเอง เพราะแกมาเฝ้านกและสูบน้ำออกนาด้วย ซึ่งตนไม่คิดเลยว่าแกจะมาโดนฟ้าผ่า เพราะตนเคยบอกแกแล้ว แต่แกไม่เชื่อ แล้วแกก็ยังใส่นาฬิกาด้วย ส่วนโทรศัพท์ไม่มี ไม่ได้พกแล้ว
นายบุญมี เพ็งศรี อายุ 61 ปี (ชาวบ้าน) เล่าว่า แฟนของตนเดินมาเจอก่อน จึงได้เรียกแก เพราะเห็นแกนอนอยู่ นึกว่าแกเป็นลมหรือเป็นอะไร แฟนจึงได้เรียก ตาลัยๆ แต่แกก็ไม่ตอบ แฟนจึงได้วิ่งไปตามตนที่กำลังติดเครื่องอยู่ที่หัวนา ตนจึงได้รีบมาดู และชวนเพื่อนอีกคนมาด้วย แต่แกแน่นิ่งไม่กระดุกกระดิกแล้ว คิดว่าน่าจะเสียชีวิตแล้ว สาเหตุน่าจะมาจากโดนฟ้าผ่า เพราะตอนนั้นฝนมันตก แต่ยังไม่แรงเท่าไหร่ ฟ้ามันลงดัง 2 ทีซ้อนเลย น่ากลัวมาก ตนคิดว่าฟ้าคงจะผ่าใกล้ๆนี่แหละ แต่ไม่เห็นตอนผ่า ส่วนบ้านคนตายอยู่อีกที่หนึ่ง แต่นาแกอยู่ตรงนี้ ซึ่งแกขับรถเครื่องมาจอดไว้ ตนเองกลัวและเสียวมาก ต่อไปก็จะพยายามไม่มาผ่านทางนี้ ถ้าฝนตกก็จะไม่ออกมาแล้ว เพราะตนก็รอให้ฝนหยุดจึงได้ออกไปติดเครื่อง ส่วนผู้ตาย แกหลบฝนอยู่ตรงนี้ ไม่ได้กลับบ้านเพราะมันไกล ธรรมดาเขาจะไปหลบอยู่ที่กระต๊อบ ส่วนแฟนก็เดินไปบอกตนด้วยอาการขาสั่น ทำให้เรากลัวไปด้วย ไม่กล้าเข้าไปใกล้
ชาวบ้านอีกคน เล่าต่อว่า ตนก็เดินเข้าไปดูใกล้ๆเลยว่าแกยังหายใจอยู่มั้ย แกโดนจากง่ามขา เพราะเปลือกต้นไม้มันแตก ซึ่งไม่มีแผล เป็นแสงไฟธรรมดา สื่อมันแรง แกถึงได้ช็อก ซึ่งแกโดนเต็มๆเลย แต่ไม่มีแผล คาดว่าฟ้าน่าจะผ่าลงมา เพราะเปลือกไม้มันก็แตกลงมาเยอะเลย