ระทึกไฟไหม้รถบรรทุกสินค้า กลางเมืองสุพรรณบุรี หนีตายอลหม่าน
13 ม.ค. 2566, 15:02
ที่จังหวัดสุพรรณบุรีเมื่อเวลาประมาณ 01.10 น.วันที่ 13 มกราคม 2566 เจ้าหน้าที่ศูนย์วิทยุ สภ.เมืองสุพรรณบุรี รับแจ้งมีเหตุไฟไหม้ที่ร้านจำหน่ายสินค้าปลีกรายใหญ่ ริมถนนนางพิมตัดเณรแก้ว ตำบลท่าพี่เลี้ยง เขตเทศบาลเมืองสุพรรณบุรี จึงประสานรถดับเพลิงเทศบาลเมืองสุพรรณบุรี นำรถดับเพลิง 5 คันพร้อมเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนสภ.เมืองสุพรรณบุรี และสมาคมเณรแก้วกู้ภัยทางหลวงสุพรรณบุรี รุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุบริเวณลานจอดรถด้านข้างของร้านจำหน่ายสินค้าปลีก พบไฟกำลังลุกไหม้ช่วงหน้ารถยนต์ตู้ทึบมีทั้งรถหกล้อและรถกระบะตู้ทึบที่ใช้บรรทุกสินค้าจำนวนหลายคันและเปลวไฟได้โหมขึ้นไปด้านหลังตึก 3 ชั้นซึ่งอยู่ติดกันเจ้าหน้าที่ดับเพลิงจึงระดมฉีดน้ำสกัดเพื่อควบคุมไม่ให้เพลิงลุกลาม ขณะเดียวกันก็พยายามเปิดท้ายรถบรรทุกขนสินค้าออกเพื่อไม่ให้ถูกไฟไหม้ ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีเพลิงจึงสงบ
หลังจากเพลิงสงบเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบเบื้องต้นพบรถบรรทุกหกล้อ 2 คันรถกระบะ 3 คันสภาพจอดหันหน้าเข้ากำแพงมีรถหกล้อมีสินค้าอยู่เต็ม 1คันจอดอยู่ตรงกลางระหว่างรถ 5 คันส่วนอีก 4 คันเป็นรถเปล่า ถูกไฟไหม้ช่วงหัวเก๋งหน้ารถและเครื่องยนต์ได้รับความเสียหายทั้ง 5 คัน โดยที่พื้นข้างกำแพงพบว่ามียางรถยนต์เก่าจำนวนมากวางกองอยู่และถูกไฟไหม้เกือบหมด จากการสอบถามเจ้าของร้านจำหน่ายสินค้าปลีกเบื้องต้นเล่าว่ารถบรรทุกสินค้าคันดังกล่าวเพิ่งไปรับสินค้ามาเมื่อช่วงเย็นวันที่ 12 มกราคม ส่วนรถคันอื่นที่จอดติดกันเป็นรถเปล่า ขณะกำลังนอนหลับอยู่ในบ้านได้รับแจ้งว่ามีไฟไหม้รถจึงรีบออกมาดูก็พบไฟกำลังลุกไหม้ที่บริเวณด้านหน้ารถอย่างรุนแรงจึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจและดับเพลิงมาช่วยดับ ส่วนสาเหตุและความเสียหายขณะนี้ยังไม่ทราบอยู่ระหว่างตรวจสอบ
ทางด้านชาวบ้านที่อยู่ติดกับจุดไฟไหม้ 2 รายเล่าด้วยอาการตกใจว่าขณะกำลังนอนหลับได้ยินเสียงดังคล้ายคนจุดประทัด จึงตื่นขึ้นมาแล้วก็เห็นเปลวไฟลุกขึ้นที่บริเวณหลังบ้าน จึงรีบพาคนแก่ในบ้านอายุ 81 ปีซึ่งเดินไม่ค่อยไหวขึ้นรถวิลแชร์ เข็นพาหนีตายออกมานอกบ้าน จากนั้นได้ไปเคาะประตูเรียกเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกัน ว่ามีไฟไหม้ที่หลังบ้านและเพื่อบ้านซึ่งมีทั้งเด็กและคนแก่ก็พากันวิ่งหนีตายออกมาและล้มคว่ำกลางถนนได้รับบาดเจ็บที่หัวเข่า มือและข้อศอก ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าตกใจ กลัวไฟจะลุกลามโชคดีที่เจ้าหน้าที่ดับเพลิงสกัดเพลิงไว้ได้จึงไม่มีใครได้รับอันตราย อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานจะได้เข้าไปตรวจสอบสาเหตุที่แท้จริงอย่างละเอียดอีกครั้งว่าเกิดจากอะไรแน่