"ลูกสาวเจ้าของร้านเพชรชื่อดัง" ร้องสื่อทั้งน้ำตา ถูกนายทหารยึดบ้าน - ที่ดินของครอบครัว มูลค่ากว่า 40 ลบ. จนไร้ที่อยู่อาศัย
10 ต.ค. 2562, 11:21
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที 10 ต.ค.62 ผู้สื่อข่าว ONBnews รายงานว่า น.ส.พิมพ์นรี หรือบี โหตะไวทยากร อายุ 33 ปี บุตรสาวได้ร้องเรียนต่อสื่อมวลชน ด้วยน้ำตาว่า ตนเอง มีชื่อเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 95 หมู่ที่ 2 ต.บางกร่าง อ.เมือง จ.นนทบุรี ทั้งในทะเบียนบ้านและโฉนดที่ดินถูกต้องตามกฎหมาย แต่เมื่อวันที่ 4 ต.ค.62 ที่ผ่านมา กับมีชายฉกรรจ์คล้ายทหารหรือตำรวจจำนวนหลายสิบนาย เข้ามาที่บ้านหลังดังกล่าว ซึ่งขณะนั้นตนเองไม่ได้อยู่ในบ้าน กลุ่มชายดังกล่าว จึงให้แม่บ้านที่ดูแลอยู่เปิดประตูบ้าน ก่อนจะเข้าไปทำการ เปลี่ยนลูกกุญแจบ้านทั้งหมด ทำให้ตนเอง และ น้องสาวคือ น.ส.พิมพ์ลริล ไม่สามารถเข้าไปในบ้านได้ ตนเองจึงได้เดินทางไปแจ้งความร้องทุกข์ที่ สภ.บางศรีเมืองกับ พ.ต.ต.อานนท์ แพรงาม สว.สอบสวน สภ.บางศรีเมือง ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน
น้องบี เปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดให้ผู้สื่อข่าวฟังว่า ครอบครัวนั้นประกอบกิจการอัญมณีชื่อร้าน จารุเพ็ชรรังสรรค์ อยู่ที่บ้านหม้อ มาตั้งแต่สมัยปู่ย่า ตายาย กว่า 50 ปี จนตกทอดมาถึงรุ่นคุณแม่ก็คือ นางสุคนธกาญจน์ โหตะไวทยกร ซึ่งคุณแม่ได้แต่งงานอยู่กิน จดทะเบียนสมรสกับนายธนัช เกตุมงคล คุณพ่อของตน จนมีบุตรสาวด้วยกัน 2คน คือตนเองและน้องสาว ชีวิตครอบครัวอยู่กันอย่างมีความสุข ประกอบธุระกิจค้าขายอัญมณีเรื่อยมา น้องบีเล่าทั้งน้ำตาว่าราวๆปี 2541 นายประวิทย์ โหะไทยกร ซึ่งเป็นพี่ชายของคุณแม่ ได้พาเพื่อนนายทหารเรือก็คือ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ปัจจุบันเกษียณราชการแล้ว มาที่บ้านให้ทุกคนได้รู้จัก จนกระทั่งมีความสนิทสนมกับทุกคน โดยเฉพาะคุณแม่กับคุณพ่อ ก็ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี เมื่อนายทหารคนดังกล่าวมาเที่ยวทุกครั้ง ต่อมาคุณพ่อคือนายธนัชได้หย่าร้างกับคุณแม่เพราะเกิดปัญหาสาเหตุมาจากเรื่องนี้ ทำให้คุณพ่อกับคุณแม่ต้องแยกทางกัน ช่วงจังหวะเวลาดังกล่าว ทำให้นายทหารคนดัง ได้เข้ามาใกล้ชิดสนิทสนมกับคุณแม่ของตนเอง ไปไหนมาไหนด้วยกัน
จนเวลาต่อมาในปี 2549 คุณแม่ได้ไปดูและถูกใจที่ดินกว่า 4ไร่ ใน ซ.วัดบ่างกร่าง ต.บางกร่าง อ.เมือง จ.นนทบุรี ซึ่งปัจจุบันคือ บ้านเลขที่ 95 หลังดังกล่าว จนถูกใจและตกลงซื้อในราคากว่า 17,500,000บาท พร้อมทั้งถมที่ปลูกบ้านตกแต่งไปรวมกว่า 40,000,000 บาทใช้ชื่อบ้านและโฉนดที่ดินเป็นชื่อของคุณแม่ แต่เพียงผู้เดียว โดยขณะนั้นคุณแม่ซึ่งคบหาดูใจกับนายทหารคนดัง ก็ได้พาช่างตบแต่ง ผู้รับเหมา เข้ามาดูแล ซึ่งคุณแม่เองได้มีการโอนเงิน การซื้อและตกแต่งมูลค่าบ้านหลังนี้ทั้งหมด ผ่านบัญชีนางเปรมจิต โหตะไวทยกร ซึ่งเป็นมารดาของคุณแม่ โดยการโอนแต่ละครั้งจะโอนให้นางเปรมจิตเป็นงวดๆครั้งละหลายล้านบาท เนื่องจากคุณแม่ไม่อยากให้ตนเองและน้องสาวคิดว่า นำเงินส่วนของร้านอัญมณีที่มีตนเองและน้องสาวเข้ามามีส่วนร่วมบริหารไปใช้จ่าย เพราะขณะนั้นคุณแม่คบหาสนิทสนมกับนายทหารคนดัง ทั้งๆที่คุณแม่ก็รู้ว่านายทหารคนดังกล่าวนั้นมีครอบครัวแล้ว
ต่อมาตนเองพร้อมน้องสาวและคุณแม่ได้ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านหลังที่ซื้อ พร้อมทั้ง พล.ร.อ.บรรณวิทย์ก็มีการไปมาหาสู่กับคุณแม่ และพักอยู่บ้านหลังดังกล่าวเป็นครั้งคราว ต่อมาราวปี 2559 คุณแม่เริ่มมีอาการป่วยจึงได้ทำนิติกรรมและโอนที่ดินพร้อมบ้านหลังนี้ให้เป็นชื่อของตนเอง ก่อนเสียชีวิตในเวลาต่อมา ตนและน้องสาวก็พักอาศัยที่บ้านหลังกล่าวพร้อมสาวใช้ โดยมีนายธนัชคุณพ่อพักอาศัยอยู่ด้วยเช่นกัน จนกระทั่งเรื่องราวมาเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 ต.ค.ที่ผ่านมา หนุ่มชายฉกรรจ์กว่า 10 นาย ได้บุกเข้ามาในบ้านพร้อมอ้างว่าได้รับคำสั่งจาก พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ให้เข้ามาดูแลและเฝ้าบ้าน ในฐานะเจ้าของผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วม ซึ่งตนเองและครอบครัวเกรงว่าจะได้รับอันตรายจาก กลุ่มชายดังกล่าว จึงไปแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐาน พร้อมทั้งแสดงโฉนดและชื่อทะเบียนบ้านที่มีชื่อของตนเอง เป็นเจ้าของ พร้อมวอนขอให้กลุ่มชายดังกล่าวออกจากบ้าน หลังจากนี้คงต้องปรึกษาข้อกฎหมายเพื่อดำเนินการต่อไปกับนายทหารคนดังกล่าว
น้องบี กล่าวด้วยน้ำตาว่า หลังคุณแม่ป่วยด้วยมะเร็งลำไส้ ทาง พล.ร.อ.บรรณวิทย์ ที่มีครอบครัวอยู่แล้ว ไม่เคยมาเหลียวและใส่ใจในตัวคุณแม่เลยมีเพียงนายธนัต คุณพ่อเพียงคนเดียวที่กลับมาดูใจคุณแม่จนถึงนาทีสุดท้าย "หนูขอความเป็นธรรมกับพี่ๆสื่อมวลชนด้วย บ้าน ที่ดิน ล้วนแล้วแต่เป็นชื่อของหนูที่คุณแม่มอบไว้ให้ก่อนเสียชีวิต แต่อยู่ดีๆกับถูกนายทหารชื่อดังคนนี้เข้ามายึดครองและบอกว่ามีส่วนร่วมในบ้านหลังนี้ ตอนนี้หนูเองลำบากมากเพราะไม่สามารถเข้าไปในบ้านได้ เนื่องจากเขานำช่างมาเปลี่ยนกุญแจบ้านทั้งบ้านไม่ให้หนูกับน้องสาวเข้าไปอยู่ แม้แต่สุนัขพันธ์ เฟ้นบูด๊อก ที่เลี้ยงไว้ก็ยังไม่สามารถนำออกมาได้ ต้องขอร้องคนในบ้านให้ช่วยส่งคืน จนกระทั่งแม่บ้านเก่าแก่ของคุณแม่อุ้มออกมาให้ตนเอง ก่อนที่คุณแม่จะเสียนายทหารคนนี้ยังพยายามแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับหนูและน้องสาว จนคุณแม่ประกาศตัดความสัมพันธ์และเขาหายไปจากครอบครัวนานกว่า 3 ปี แต่อยู่ดีๆกับมาอ้างสิทธิ์ในบ้านหลังนี้ทั้งๆที่เป็นเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ครอบครัวเราหาซื้อมาด้วยหยาดเหงื่อตัวเอง"
ขณะที่นายธนัช บิดาน้องบี กล่าวว่า รู้สึกสงสารลูกสาวเป็นอย่างมากในฐานะหัวอกคนเป็นพ่อ ช่วงที่อดีตภรรยาตนเองป่วยด้วยโรคมะเร็งระยะสุดท้ายตนเองทราบข่าวก็มาเยี่ยมดูแลป้อนน้ำป้อนข้าว แต่ไม่เคยเห็น พล.ร.อ.บรรณวิทย์ มาเยี่ยมเยียนหรือดูใจอดีตภรรยาของตนเองแม้แต่ครั้งเดียวเลย ครอบครัวตนเองต้องเป็นแบบนี้เพราะอะไร อยากให้สังคมคัดสินและให้ความเป็นธรรมกับลูกสาวตนเองด้วย "ไม่มีพ่อ-แม่คนไหนหรอกที่ไม่รักลูกและห่วงใยอนาคตลูก สมบัติที่หามาได้ถ้าไม่ให้ลูกแล้วจะไปให้ใคร" นายธนัต กล่าวด้วยสีหน้าเศร้าสลด