เปิด ปิด การใช้งานคุกกี้ของ ทรูฮิต (Truehits Cookies)



"เจ้าของสวนน้ำ" แฉพฤติกรรมลูกน้องลักเงินนานกว่า 1 ปี เงินโดนฉกไปกว่า 1 แสนบาท เผยวินาทีจับผิดได้เพราะเงินเห็นเงินโผล่ออกมาจากใต้เครื่อง


24 ต.ค. 2566, 11:42



"เจ้าของสวนน้ำ" แฉพฤติกรรมลูกน้องลักเงินนานกว่า 1 ปี เงินโดนฉกไปกว่า 1 แสนบาท เผยวินาทีจับผิดได้เพราะเงินเห็นเงินโผล่ออกมาจากใต้เครื่อง




เมื่อวันที่ 24 ต.ค. 2566  ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีสมาชิกติ๊กต๊อก ได้โพสต์เหตุการณ์จากกล้องวงจรปิด เป็นภาพเหตุการณ์การขโมยเงินของพนักงานในสวนน้ำแห่งหนึ่งของ อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ  ซึ่งจากการประสานงานทางโทรศัพท์ทราบว่า เป็นสวนน้ำชื่อ สวนน้ำเบนลี่ย์  ตั้งอยู่ที่บ้านเลขที่ 203 หมู่ 3 ต.ห้วยเหนือ อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ  ผู้สื่อข่าวจึงได้เดินทางไปที่สวนน้ำดังกล่าว  ได้พบกับ น.ส.ยลดา อายุ 37 ปี เป็นเจ้าของสวนน้ำแห่งนี้  โดยในสวนน้ำปรากฏว่า มีบรรดาผู้ปกครองนำบุตรหลานมาเล่นน้ำในสวนน้ำจำนวนมาก  ซึ่งมีการนำเอาชุดว่ายน้ำและอุปกรณ์ในการเล่นน้ำมาบริการให้เช่าจำนวนมาก  โดยขณะที่เด็กเล่นน้ำในสระ จะมีการ์ดและครูสอนว่ายน้ำคอยดูแลเด็ก ๆ อย่างใกล้ชิด

น.ส.ยลดา  อายุ 37 ปี  กล่าวว่า ตนรับนางขวัญ (นามสมมุติ) เข้ามาทำงานหลายปีแล้ว เนื่องจากก่อนหน้านี้มีบ้านอยู่ใกล้กัน และเห็นสภาพค่อนข้างฐานะยากจน สภาพผอมโซ ขี่รถจักรยาน 2 ล้อเก่ามาก ตนมีความสงสารจึงได้ให้มาทำงานอยู่ที่สวนน้ำ โดยให้ทำหน้าที่เก็บเงินและขายของภายในร้าน พร้อมทั้งให้การดูแล มีรถจักรยานยนต์ให้ใช้ มีบ้านพักให้อยู่ จนกระทั่งตนไว้เนื้อเชื่อใจ โดยให้เงินค่าจ้างนางขวัญวันละ 350 บาท และมีเงินเดือนต่างหากอีกเดือนละ 2,000 บาท ส่วนเสาร์-อาทิตย์ จะเพิ่มให้อีกวันละ 100 บาทเป็นวันละ 450 บาท  ซึ่งนางขวัญ บอกว่า ตนและครอบครัวดีกับเขามาก และจะอยู่ด้วยตลอดชีวิต ต่อมาทำงานยังไม่ครบปี ก็เริ่มกินเหล้า ออกเที่ยวกลางคืน เริ่มขโมยของกินของใช้หลายอย่าง ตนได้ตักเตือนมาตลอด ถึงขั้นจะไล่ออกหลายครั้งแล้ว แต่นางขวัญก็ขอโอกาสว่าจะปรับปรุงตัว และพยายามทำให้เห็นว่าเขาดีขึ้น แต่พอลับหลังจะเป็นอีกอย่าง ไม่เคยพูดความจริงเลย แม้แต่ช่วงมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด 19 และถูกรัฐบาลสั่งปิดสวนน้ำ ตนก็ยังเลี้ยงดูพาไปทำงานเพื่อให้มีรายได้เลี้ยงตนเอง ตนเคยถามว่าอยากไปอยู่ที่อื่นหรือไม่ นางขวัญบอกว่าจะอยู่ที่นี่ตลอดไป  ต่อมาวันที่ 6 เม.ย.66 ตนเข้ามาดูแลร้านเนื่องจากว่ามีลูกค้าเข้ามาใช้บริการจำนวนมาก และขณะที่กำลังเก็บเงินจากลูกค้าพบว่าใต้เครื่องเก็บเงินมีเงินใบละ 100 บาท โผล่ออกมาจากใต้เครื่อง ตนจึงได้ยกเครื่องเก็บเงินขึ้นดู และพบว่ามีธนบัตรหลายใบอยู่ใต้เครื่องเก็บเงิน ตนจึงได้ไล่ตรวจสอบจากกล้องวงจรปิดและพบพฤติกรรมว่า นางขวัญจะใช้วิธีการเมื่อมีลูกค้านำเอาเงินที่ไม่ต้องทอนมาจ่ายค่าใช้บริการสระน้ำ เช่น เงินจำนวน 420 บาท เมื่อลูกค้าจ่ายเงินมาให้แล้วจำนวนพอดีไม่ต้องทอนเงิน นางขวัญจะฉวยโอกาสเขี่ยเอาเงินเข้าไปไว้ใต้เครื่องเก็บเงิน จากนั้นจะเคลียร์บิลในระบบของเครื่องเก็บเงิน เพื่อไม่ให้ปรากฏยอดเก็บเงิน

 



น.ส.ยลดา กล่าวต่อไปว่า จากนั้นในช่วงเย็นเลิกงาน นางขวัญจะใช้วิธีนำเอาไม้ปัดฝุ่นมาทำความสะอาดบริเวณเครื่องเก็บเงิน และจะยกเครื่องเก็บเงินขึ้น ใช้ไม้ขนไก่กวาดเงินที่อยู่ใต้เครื่องลงใส่ถังขยะ แล้วจะนำเอาถังขยะที่มีเงินอยู่ไปไว้หลังร้านและนำเอาเงินไป อีกทั้งบางคลิปก็จะเห็นว่านางขวัญจะนำเอาเงินที่ได้จากการขายสินค้าใส่กระเป๋าของตนเองอย่างหน้าตาเฉย ซึ่งภาพจากกล้องวงจรปิดพบว่า นางขวัญ ได้ใช้วิธีการลักเงินแบบนี้มานานแล้ว นับเป็นเงินที่โดนลักไปกว่า 100,000 บาทเศษ ตนจึงได้เรียกนางขวัญมาสอบถามเรื่องที่เกิดขึ้น ซึ่งนางขวัญก็ยอมรับว่าได้ลักเอาเงินไปจริง โดยจากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่านางขวัญลักเงินของตนไปหลายครั้งมากจนนับไม่ถ้วน โดยนางขวัญจะลักเงินทันทีทุกครั้งที่มีโอกาส ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ตนมีความรู้สึกเสียใจมากที่ถูกลูกน้องลักเงินจนแทบทำให้ธุรกิจของตนเกือบจะล้มลง ตนจึงได้ไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สภ.ขุขันธ์ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งนางขวัญได้ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ศาลพิพากษาให้ชดใช้เงินคืน จำนวน 15,500 บาท และจ่ายค่าปรับ จำนวน 100,000 บาท โทษจำคุกให้รอลงอาญา 2 ปี และให้คุมประพฤติบำเพ็ญประโยชน์ด้วย

ต่อมา ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านเลขที่ 166 หมู่ 6 ต.ห้วยเหนือ อ.ขุขันธ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งเป็นบ้านของนางขวัญ (นามสมมุติ) อดีตลูกจ้างของสวนน้ำเบนลี่ย์ โดยนางขวัญ กล่าวว่า ตนยอมรับว่าได้ลักเงินของเจ้าของสวนน้ำไปจริง ซึ่งข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นนั้น เนื่องจากว่าตนทำงานมาหลายปี ต่อมาถูกนายจ้างให้หยุดงานหลายครั้ง บางครั้งเดือนหนึ่งประมาณ 10 วัน ทำให้ตนมีเงินไม่พอกับค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ดังนั้นจึงได้ขโมยเงินของนายจ้างไป แต่ว่าจำนวนเงินไม่ได้มากเท่าที่ถูกกล่าวหา  ตนมีค่าจ้างเพียงวันละ 300 บาท จึงได้ตัดสินใจขโมยเงินของนายจ้าง ซึ่งตนยอมรับคำพิพากษาของศาลที่ตัดสินออกมาแล้ว ตนมีความสำนึกผิด ศาลพิพากษาว่าจำเลยผิดตามฟ้อง 10 กรรมๆ ละ 1 ปี และปรับกรรมละ 20,000 บาท จำเลยรับสารภาพลดกึ่งหนึ่ง คงจำคุกกระทงละ 6 เดือน เหลือปรับกระทงละ 10,000 บาท รวม 10 กรรม รวมจำคุกเหลือ 60 เดือน และศาลสั่งปรับ 100,000 บาท โทษจำคุกรอลงอาญาไว้ 2 ปี คุมประพฤติ 1 ปี







Recommend News






MOST POPULAR


























©2018 ONBNEWS. All rights reserved.