รมว.กลาโหม ลงพื้นที่ตรวจรั้วชายแดนไทย-มาเลย์ ติดตามผลการดำเนินงานด้านความมั่นคง และการพัฒนาจังหวัดชายแดนใต้
14 พ.ย. 2566, 09:24
ที่กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ค่ายสิรินธร ตำบลเขาตูม อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี นาย สุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลงพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อตรวจติดตามงานด้านความมั่นคง และการพัฒนาจังหวัดชายแดนใต้ โดยมี พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4/ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 , พลโท ปราโมทย์ พรหมอินทร์ แม่ทัพน้อยที่ 4 / รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พร้อมด้วย ผู้บังคับบัญชา, ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการ, หัวหน้าฝ่ายกิจการพิเศษ, ผู้บังคับหน่วยขึ้นตรง กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ให้การต้อนรับ พร้อมทั้งนำรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมตรวจเยี่ยมหน่วยฝึกทหารใหม่ของกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 152 เพื่อเยี่ยมให้กำลังใจการฝึกทหารใหม่ ผลัดที่ 2/2566 โดยมี พันเอก สิทธิศักดิ์ เจนบรรจง ผู้บังคับการกรมทหารราบที่ 152 และกำลังพลให้การต้อนรับ พร้อมนำคณะฯ เยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่หน่วยฝึกและทหารใหม่อย่างไม่เป็นทางการ เพื่อคลายความกังวลและเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับน้องคนเล็กของครอบครัวกองทัพบก ซึ่งทหารกองประจำการทุกนายได้ผ่านกรรมวิธีรับทหารใหม่ อาทิ การทำประวัติ, การตรวจร่างกายและคัดกรองโรค, การประเมินสุขภาพจิต, การแจกจ่ายเครื่องแต่งกายประจำตัว และแนะนำช่องทางการติดต่อกับครอบครัวระหว่างการฝึก ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมการฝึก ก่อนเข้าสู่การฝึกทหารใหม่เบื้องต้น ระยะเวลา 6 สัปดาห์ เพื่อปรับสภาพจากพลเรือนสู่การเป็นทหารกองประจำการสมบูรณ์แบบ ทั้งด้านร่างกาย ระเบียบวินัยทางทหาร มีความรับผิดชอบ เสียสละประโยชน์สุขส่วนตัว เพื่อความผาสุกของประชาชนและรักในสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
จากนั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้มอบแนวทางให้หน่วยฝึกทหารใหม่ดูแลใส่ใจทหารใหม่อย่างใกล้ชิด พร้อมกำชับให้หน่วยฝึกพัฒนาระบบการฝึกให้ทันสมัยสอดคล้องกับบริบทปัจจุบัน เหมาะสมกับสภาพสังคมในปัจจุบัน และดำเนินการฝึกจากเบาไปหาหนัก ที่สำคัญต้องได้สุขภาพที่ดี ทานอาหารดีตรงตามเวลา ออกกำลังกาย และห่างไกลยาเสพติดทุกชนิด พร้อมขอความร่วมมือทหารใหม่
ประชาสัมพันธ์เชิญชวนเพื่อน พี่ น้อง และญาติสมัครใจเข้ารับใช้ชาติ รับใช้แผ่นดิน ย้ำหน่วยฝึกทหารใหม่แนะนำเกี่ยวกับการศึกษาต่อที่สูงขึ้น เพื่อทหารกองประจำการ ได้ต่อยอดและเปิดโอกาสก้าวสู่การเป็นทหารอาชีพในอนาคต อีกทั้งพิจารณาสภาพความพร้อมของร่างกายทหารใหม่เป็นรายบุคคล และดูแลการแต่งกายให้เหมาะสมกับสภาวะแวดล้อม เพื่อไม่เกิดการสูญเสียในระหว่างการฝึก
ขณะเดียวกัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และคณะฯ ยังได้รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์ด้านการข่าวและแนวโน้ม, ภารกิจ การจัดและการปฏิบัติงานของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ประจำปีงบประมาณ 2567 พร้อมรับฟังปัญหา ข้อขัดข้อง ข้อเสนอแนะ จากผู้อำนวยการสำนักอำนวยการ, หัวหน้าฝ่ายกิจการพิเศษ, ผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า รายงานสถานการณ์ภาพรวมและการปฏิบัติภารกิจในพื้นที่
โดย พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4/ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เปิดเผยว่า สถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ยืดเยื้อมากว่า 19 ปี เกิดจากการกระทำของกลุ่มขบวนการที่ใช้ความรุนแรงด้วยการลอบยิง ลอบวางระเบิด ทั้งต่อเจ้าหน้าที่รัฐ บุคคลากรทางการศึกษา ผู้นำศาสนา และพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต และบาดเจ็บ อีกทั้งยังทำลายระบบสาธารณูปโภค ทำลายภาพลักษณ์ทางเศรษฐกิจ ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต เศรษฐกิจและสังคม ในพื้นที่อย่างกว้างขวาง พร้อมย้ำว่ารัฐบาลได้น้อมนำยุทธศาสตร์พระราชทาน "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา และหลักปรัชญา ของเศรษฐกิจพอพอเพียง" มาเป็นแนวทางหลักในการแก้ไขปัญหาอย่างสันติวิธี ภายใต้กรอบนโยบายการบริหาร และพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อสร้างหลักประกัน สร้างความเชื่อมั่น นำความสงบสุข กลับคืนสู่พี่น้องประชาชนได้ใช้ชีวิตปกติสุข บนพื้นฐานความหลากหลายของสังคมพหุวัฒนธรรม เพื่อสร้างสันติสุขอย่างยั่งยืน สำหรับการดำเนินงานที่ผ่านมาสามารถสร้างความเข้าใจ สร้างหลักประกันความเชื่อมั่น ด้วยการมีส่วนร่วมแสวงหาทางออกจากความขัดแย้งอย่างสันติวิธี สร้างสภาวะแวดล้อมที่เกื้อกูล หนุนเสริมกระบวนการพูดคุย ยืนยันในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ตลอดจนข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พร้อมปฏิบัติหน้าที่ตอบสนองต่อนโยบายและข้อสั่งการของรัฐบาลอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อความมั่นคงของชาติและประโยชน์สุขของพี่น้องประชาชนชาวไทยตลอดไป
โอกาสนี้ นาย สุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่ากองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า เป็นหน่วยงานสำคัญ ที่ขับเคลื่อนแผนบูรณาการกับทุกส่วนราชการ ป้องกันและแก้ไขปัญหาความไม่สงบ การช่วยเหลือ บรรเทาปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชน ทั้งยามปกติ และภัยคุกคามที่มีความซับซ้อน ตามกรอบแนวทางแผนปฏิบัติการด้านการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ พุทธศักราช 2566 - 2570 พร้อมย้ำว่าในฐานะรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมมีความตั้งใจรับทราบปัญหาข้อขัดข้อง ที่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงาน จะได้หาทางแก้ไขร่วมกัน เพื่อการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ก่อนที่เดินทางไปยัง อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส จังหวัดนราธิวาส เพื่อติดตามความคืบหน้าโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง และการก่อสร้างรั้วความมั่นคงอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งติดตามการแก้ไขปัญหาหินสไลด์ฝั่งมาเลเซีย ตามโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมพื้นที่ชายแดน ตามแผนงานโครงการก่อสร้างรั้วชายแดนไทย-มาเลเซีย เพื่อตรวจเยี่ยมสถานที่ในการดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดระเบียบชายแดน พร้อมรับฟังรายงานสรุปการดำเนินงานดังกล่าว ณ จุดก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่ง บ้านแฆแบะ ตำบลนานาค อำเภอตากใบ จังหวัดนราธิวาส โดยมี พลตรี เฉลิมพร ขำเขียว ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 /ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส, หัวหน้าส่วนราชการ, ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่นและประชาชนร่วมให้การต้อนรับ โดยโครงการฯ ดังกล่าวได้ดำเนินการส่งมอบงานเรียบร้อยแล้ว ขณะที่การก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งริมแม่น้ำโก-ลก ดำเนินการแล้วร้อยละ 27.80 ซึ่งมีความล่าช้า เนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่ไม่เอื้ออำนวย ทำให้ขนย้ายวัสดุก่อสร้างเข้าในพื้นที่ยากลำบาก แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานในภาพรวมแต่อย่างใด ส่วนการแก้ไขปัญหาหินสไลด์ฝั่งมาเลเซีย ปัจจุบันกองบังคับการควบคุม สุริโยทัย ได้กำกับดูแลและประสานงานกับทางมาเลเซียเข้าดำเนินการแก้ไขเป็นระยะ ซึ่งมีความคืบหน้าประมาณร้อยละ 80 และล่วงเลยเวลาที่ตกลงกัน ทางหน่วยจึงได้ทำหนังสือร้องเรียนไปตามสายบังคับบัญชาแล้ว
โดย นาย สุทิน คลังแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ย้ำว่าภาพรวมที่ได้รับทราบจากการรายงานความคืบหน้าโครงการดังกล่าวฯ มีความสบายใจ มั่นใจ ทุกส่วนราชการสามารถดำเนินงานได้ดี มีความสมบูรณ์ ส่วนรั้วความมั่นคงเล็กทรอนิกส์ ถือว่ามีความสำคัญเสริมความมั่นคงในพื้นที่สามารถบริหารจัดการความเสี่ยงภัยคุกคามทุกรูปแบบได้อย่างทันท่วงที
อย่างไรก็ตามการดำเนินโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดระเบียบชายแดน โดยโครงการฯ ดังกล่าวมีความสำคัญยิ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมพื้นที่ชายแดน เพื่อป้องกัน สกัดกั้น ยับยั้งการลักลอบขนย้าย อาวุธ ยาเสพติด แรงงานต่างด้าว สิ่งผิดกฎหมายต่างๆ และการคัดกรองบุคคล ตลอดจนพัฒนาระบบบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีเอกภาพ มุ่งเน้นให้พื้นที่ชายแดนมีความมั่นคงปลอดภัย สนับสนุนการขับเคลื่อนเศรษฐกิจบริเวณชายแดน อีกทั้งรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีเป้าหมายลดเหตุความรุนแรง ความสูญเสียในชีวิต และทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนในพื้นที่