ซึ่งจุดที่สอง ทางตำรวจ ได้นำผู้ต้องหา ไปทำแผน ที่บริเวณริมถนน ที่ผู้ต้องหา นำอาวุธมีดที่ใช้ก่อเหตุ ไปโยนทิ้ง ที่ป่าสวนยางพารา หลังโยนมีดทิ้ง ได้ขับรถจักรยานยนต์​หลบหนี ไปทางบ้านละไม

 

จุดที่สาม หลังจากก่อเหตุ ผู้ต้องหา ได้ขับรถเข้าไปทำงาน ที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน หมู่ 4  ตำบลหน้าเมือง และนำเสื้อผ้าที่ใช้ก่อเหตุ นำไปทิ้งในกองขยะ เพื่อทำลายหลักฐาน และทำงานตามปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

 

ขณะที่จุดที่สี่  ซึ่งเป็นไฮไลค์ ที่ผู้ต้องหา นำสร้อยของกลางไปฝากขาย ที่ร้านทองแห่งหนึ่งในหมู่ 4 บ้านละไม ตำบลมะเร็ต อำเภอเกาะสมุย ซึ่งการทำแผนที่ร้านทองแห่งนี้ ได้มีนักท่องเที่ยวผู้เสียหายทั้งสองมาดูการทำแผน ด้วยความสนใจ

 

ภายหลังจากทำแผน ทางตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหากลับ สภ.เกาะสมุย ทางพนักงานสอบสวน ได้แจ้งข้อกล่าว “ชิงทรัพย์โดยใช้อาวุธมีด และใช้ยานพาหนะ เพื่อกระทำผิดหรือพาทรัพย์นั้นไปเพื่อให้พ้นการจับกุม เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ” พร้อมสรุปสำนวน เพื่อเตรียมส่งฟ้องศาลจังหวัดเกาะสมุย ต่อไป

 

 

 

ด้านนักท่องเที่ยวชาวเยอรมัน พร้อมเพื่อนสาวชาวไทย ได้กล่าวขอบคุณทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่สามารถติดตามจับกุมคนร้าย และนำทรัพย์สินกลับคืนมาให้ 

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงาน ในแนวทางการสืบสวน ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ภายหลังเกิดเหตุ ซึ่งในที่เกิดเหตุเป็นสถานที่เปลี่ยว และไม่มีบ้านเรือนผู้คน และไม่มีกล้องวงจรปิด ในบริเวณดังกล่าว แต่ขณะเดียวกัน ทางฝ่ายผู้เสียหาย สามารถจจดจำลักษณะของคนร้าย และ จดจำรถจักรยานยนต์ของคนร้ายได้อย่างแม่นยำ จึงเป็นประโยชน์ ต่อการสืบสวน หาข่าว และได้ไล่กล้องจวจรปิด บริเวณปากทางในซอย พูลสวัสดิ์ หมู่ 3 ตำบลมะเร็ต จากนั้นได้นำภาพผู้ต้องหา ไปให้ผุ้เสียหายดู ซึ่งผุ้เสียหายยืนยัน เป็นคนๆเดียวกัน ทางตำรวจจึงได้ลงพื้นที่ตรวจสอบ จนพบว่าเป็นพนักงานแผนกช่างโรงแรมแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ หมู่ 4 ตำบลหน้าเมือง และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ขออนุมัติหมายศาลจังหวัดเกาะสมุย นำกำลังไปทำการจับกุมได้ดังกล่าว

ซึ่งจากการสอบปากคำ นายนันทนนท์ ผู้ต้องหา ให้การรับสารภาพว่า เนื่องจากมีปัญหาทางการเงิน เนื่องจากเป็นหนี้ โครงการกู้ยื่มเพื่อการศึกษา หรือ (กยศ ) จึงได้ก่อเหตุดังกล่าว 

โดยจากเหตุการณ์ ดังกล่าว ทำให้ภาพลักษณ์ การท่องเที่ยวเสียหาย ขณะเดียวกัน ผู้ต้องหา ยังเป็นถึงพนักงานโรงเเรม ที่ประกอบกิจการด้านบริการนักท่องเที่ยว จึงไม่สมควร เป็นการทรยศต่ออาชีพ และทำให้ภาพลักษ์ การท่องเที่ยวเสียหายไปด้วย