นายอำเภอทองผาภูมิ พาเที่ยวชมทะเลหมอกยามเช้า บนรอยพระพุทธบาทวัดท่าขนุน
21 พ.ย. 2566, 14:48
ผู้สื่อข่าว ONB news รายงานว่า นายชาคริต ตันพิรุฬห์ นายอำเภอทองผาภูมิ ได้เดินขึ้นเขารอยพระพุทธบาท วัดท่าขนุน เพื่อไปกราบนมัสการรอยพระพุทธบาท ซึ่งเป็นจุดเช็คอินที่อยู่ตรงข้ามกับวัดท่าขนุน เนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นในช่วงเช้านี้อุณหภูมิประมาณ 17 องศา ทำให้บริเวณโดยรอบตัวรอยพระพุทธบาท และตัวตลาดอำเภอทองผาภูมิ มีหมอกปกคลุมอย่างสวยงาม ซึ่งจะเห็นเฉพาะในช่วงฤดูหนาว โดยต้องขึ้นบันไดจำนวน 1,173 ขั้นเพื่อไปนมัสการกราบไหว้รอยพระพุทธบาท จำนวน 3 รอย ที่ถูกพบเมื่อใด ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน แต่ได้มีการขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาทนี้มาตั้งแต่สมัยหลวงปู่สาย อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ต่อมาเมื่อปี พ.ศ.2561 พระครูวิลาศกาญจนธรรม,ดร. เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนและศิษยานุศิษย์ ได้ทำการสร้างบันไดทางขึ้นไปนมัสการรอยพระพุทธบาท และยังได้เห็นเจดีย์พระพุทธเจติยคีรีที่อยู่ฝั่งตรงข้ามทะเลหมอกปกคลุมอย่างสวยงาม จึงขอเชิญชวนนักท่องเที่ยวและประชาชนเที่ยวรอยพระพุทธบาทในช่วงหน้าหนาวนี้ และเทศกาลลอยกระทงปีนี้ ทางเทศบาลตำบลทองผาภูมิ ขอเชิญเที่ยวงาน ประเพณีลอยกระทง ประจำปี 2566 " แควน้อยร้อยดวงใจ แม่ธารใสไหลประทีป " ในวันที่ 26 - 27 พ.ย.2566 ณ สวนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 (ท่าน้ำเทศบาลฯ) เชิญนักท่องเที่ยวไปร่วมลอยกระทงและชมความงามของสายหมอกยามเช้านี้ได้
สำหรับประวัติ วัดท่าขนุนได้ชื่อตามเมืองด่านท่าขนุน สมัยนั้นการสัญจรส่วนมากไปทางเรือที่ล่องตามลำน้ำแควน้อย จุดที่ตั้งของเมืองด่านท่าขนุนเป็นท่าเรือ มีที่หมายสำคัญคือมีต้นขนุนอยู่หลายต้น จึงเรียกกันง่าย ๆ ว่า “ท่าขนุน” จนกลายเป็นชื่อบ้านนามเมืองตั้งแต่นั้นมา
ในหนังสือนิราศท่าดินแดง ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๙ เมื่อคราวเสด็จไปทำศึกกับพม่าซึ่งยกมารุกรานไทยที่ท่าดินแดง ทรงยกทัพไปพร้อมกับกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท โดยขบวนเรือจากกรุงเทพ ฯ ไปจนถึงเมืองไทรโยค แล้วจึงเดินทัพทางบกต่อไป
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเข้าตีค่ายพม่าที่ท่าดินแดง ในขณะที่กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงเข้าตีค่ายพม่าที่ตำบลสามสบ โดยเข้าตีค่ายพม่าพร้อมกันทั้งสองทัพ เมื่อวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๓๒๙
ทำการรบกันอยู่สามวัน ถึงวันที่ ๒๓ เวลาบ่าย ฝ่ายไทยบุกทะลวงเข้าค่ายพม่าได้ และได้รบติดพันกันอยู่จนพลบค่ำ พม่าจึงทิ้งค่ายแตกหนีไป กองทัพไทยได้ไล่ติดตามไปถึงค่ายพระมหาอุปราชาที่ตำบลแม่กษัตริย์
พระมหาอุปราชารู้ว่ากองทัพหน้าแตกแล้วก็ไม่ให้คิดต่อสู้ รีบยกกองทัพหนีไปก่อน กองทัพพม่าจึงแตกยับเยิน เสียรี้พลและอาวุธยุทโธปกรณ์มากมาย โดยเฉพาะปืนใหญ่ไม่สามารถที่จะลากกลับไปได้แม้แต่กระบอกเดียว