หนึ่งในอุปกรณ์ยังชีพที่แนะนำให้คนขับรถทุกคนพกติดรถเอาไว้เลยนั่นก็คือตัว 'Battery Tester' หรือเครื่องทดสอบแบตเตอรี่ เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ให้กระแสไฟฟ้าหลัก ซึ่งสามารถใช้กระแสไฟนี้ในการสตาร์ทรถยนต์ได้ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน รถยนต์แบตเตอรี่หมดและต้องการเครื่องสำหรับจุดกระแสไฟฟ้าขึ้นมาให้รถยนต์สตาร์ทติด อย่างไรก็ตามนอกเหนือจากคุณสมบัติที่ช่วยให้กระแสไฟแล้ว เครื่อง Battery Tester ยังสามารถช่วยในการวัดค่าแบตเตอรี่ ตั้งแต่การวัดค่าแรงดันไฟฟ้า วัดค่ากระแสไฟฟ้า ตลอดไปจนถึงการวัดค่าความจุของแบตเตอรี่เอง ส่วนคุณสมบัติอื่นๆ และสิ่งที่ควรทราบก่อนการเลือกเครื่อง Battery Tester ได้แก่อะไรบ้าง บทความนี้มีข้อมูลดีๆ มาแชร์กัน

เลือกจากคุณภาพ
ด้วยความที่เป็นอุปกรณ์เกี่ยวกับยานยนต์ มีคำว่ากระแสไฟฟ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นเครื่อง ที่แนะนำให้เลือกและพิจารณาให้ดีเลยนั่นก็คือเรื่องของคุณภาพ ควรเลือกจากเครื่องวัดที่ได้มาตรฐาน ได้ค่าออกมาอย่างแม่นยำ เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินผู้ใช้งานจะต้องมั่นใจว่าเครื่องที่เลือกมานั้นจะสามารถพึ่งพาได้ มาตรวัดสามารถเชื่อถือได้ โอกาสในการผิดพลาดต้องมีน้อยหรือแทบจะไม่มีเลย เนื่องจากถ้าหากเครื่องวัดค่าออกมาแล้วไม่แม่นยำ การแปลความหมายและการตั้งค่าต่างๆ ก็อาจผิดพลาดตามมาได้ ส่งผลต่อความปลอดภัยในการขับขี่ได้เช่นกัน

สามารถใช้งานร่วมกับรถยนต์ได้ทุกรุ่น
อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่แนะนำให้พิจารณาถ้าหากจะเลือกเครื่องดีๆ สักเครื่องก็แนะนำว่าให้เลือกจากเครื่องวัดแบตเตอรี่ที่สามารถใช้งานควบคู่กับรถยนต์ได้ทุกรุ่น หากเป็นมือใหม่หัดเลือกเครื่อง Battery Tester ก็แนะนำว่าให้เลือกรุ่นที่รองรับค่า CCA ได้ตั้งแต่ 100-1000 Amp (แอมป์) จะสามารถใช้งานร่วมกันกับรถยนต์ได้หลากหลายรุ่น ส่วนรถยนต์ขนาดใหญ่ตั้งแต่ 6 ล้อเป็นต้นไปแนะนำให้เลือกใช้เครื่องตั้งแต่ 800 Amp ขึ้นไปจะดีกว่า เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการใช้งานนั่นเอง

ฟังก์ชันเสริม ช่วยได้
เครื่อง Battery Tester ก็คล้ายกับสมาร์ตโฟน หากเป็นไปได้แนะนำว่าให้เลือกจากเครื่องที่มีฟังก์ชันเสริม เพื่อให้การใช้งานเป็นไปอย่างง่ายดายและสะดวกมากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่นเครื่อง Battery Tester ที่ไม่จำเป็นต้องถอดแบตเตอรี่ออกจากหน้าห้องเครื่อง แต่สามารถใช้เครื่อง ในการวัดค่าแบตเตอรี่ได้เลย ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งฟังก์ชันที่ทำให้ชีวิตง่ายมากขึ้น ตลอดไปจนถึงเครื่อง Battery Tester ที่มาพร้อมกับฟังก์ชันไฟ LED ในการบ่งบอกสถานะ ตั้งแต่ไฟสีเขียว หมายถึงพร้อมใช้งาน สีเหลือง หมายถึงให้เตรียมตัวเปลี่ยนแบตเตอรี่ และสุดท้ายคือสีแดง ที่ถ้าขึ้นเมื่อไหร่ก็ให้เปลี่ยนแบตเตอรี่ได้เลย

น้ำหนักเบา พกพาง่าย
อีกหนึ่งฟังก์ชันที่ผู้ใช้งานหลายคนเลือกพิจารณา การเลือกซื้อเครื่อง Battery Tester ติดรถเอาไว้สักเครื่อง นอกจากจะเป็นเครื่องวัดที่มาพร้อมกับฟังก์ชันเสริมแล้ว แนะนำว่าให้เลือกจากเครื่องที่มีน้ำหนักเบา พกพาง่าย ไม่กินพื้นที่เก็บของในรถเนื่องจากเป็นอุปกรณ์เสริมที่คงจะไม่มีใครอยากหยิบขึ้นมาใช้บ่อยๆ สำหรับขนาดที่เหมาะสมแนะนำว่าควรอยู่ที่ประมาณ 10-15 เซนติเมตร หนักไม่เกิน 300 กรัมก็น่าจะเพียงพอ นอกจากเก็บในรถยนต์ได้อย่างสะดวกและไม่กินพื้นที่แล้ว ขนาดประมาณเท่านี้ยังเล็กเพียงพอที่จะเก็บในรถมอเตอร์ไซค์ได้เช่นกัน ซื้อ Battery Tester เครื่องหนึ่งก็ตอบโจทย์รถได้หลายประเภท คุ้มค่าแบบสุดๆ