ผกก.สังขละบุรี สนธิกำลังความมั่นคงจับชาวโรฮิงญา 30 คน
5 ม.ค. 2567, 18:37

ผู้สื่อข่าว ONB news รายงานว่า จากการสั่งการให้กวาดล้างปราบปรามอาชญากรรมและสิ่งของผิดกฎหมายทุกประเภท หลังเทศกาลปีใหม่อย่างต่อเนื่อง พ.ต.อ.ไพฑูรย์ ศรีวิไล ผกก.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี ได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีขบวนการขนแรงงานต่างชาติลักลอบเข้ามาใน ประเทศ ชาวโรฮินญา จึงขอความร่วมมือกับหน่วยความมั่นคงโดยมี พ.ต.ท. เมธี ธีระสวัสดิ์ สว. ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองกาญจนบุรี นายณัฐพัชร์ งามศิริโรจน์ ปลัดฝ่ายป้องกันสังขละบุรี ทหารเฉพาะกิจลาดหญ้า กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 134
เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีการลักลอบขนแรงงานต่างด้าว เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงตั้งจุดตรวจจุดสกัด หน้าจุดตรวจร่วมบ้านจงอั่ว ม.4 ต.ปรังเผล อ.สังขละบุรี ต่อมาได้พบ รถยนต์กระบะ Toyota vigo champ สีดำ หมายเลขทะเบียน บห 2118 กาญจนบุรี มาจากอำเภอสังขละบุรี มุ่งหน้าไปยังอำเภอทองผาภูมิ จึงได้เรียกตรวจสอบ รถคันดังกล่าวได้ชะลอความเร็วแต่ไม่ทำการหยุดรถให้เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมตรวจสอบ แต่รถยนต์คันดังกล่าวกลับได้เร่งเครื่องหลบหนี เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ขับรถยนต์ติดตามเป็นระยะทางกล่าว 1 กม พบรถยนต์คันดังกล่าวได้เสียหลักชนกับเสาไฟฟ้าข้างทาง พบว่าคนภายในรถร้องควรครางขอความช่วยเหลือ ตรวจสอบพบชาวโรฮิงญา สัญชาติเมียนมา จำนวน 30 คน มีบาดเจ็บหนัก1 คนเป็นเด็ก บาดเจ็บเล็กน้อย7 คน เจ้าที่ได้ให้ความช่วยเหลือนำตัวส่งโรงพยาบาลสังขละบุรีเพื่อทำการรักษาตามหลักมนุษยธรรม ส่วนคนขับรถอาศํยความมืดหลบหนีไปได้
จากการสอบสวนจากการสอบสวนหนึ่งในรงงานต่างด้าวทราบว่า ทั้งหมดเดินทางมาจากรัฐยะไข่ ใช้เวลาเดินทางมา8วัน กว่าจะถึงด่านเจดีย์สามองค์ ต่อจากนั้น เดินทางเข้ามาในประเทศไทย(อ.สังขละบุรี) ตามช่องทางธรรมชาติ โดยคนนำพาได้พาเดินลัดเลาะมาตามป่าเขา และมาลงเรือบริเวณขอบอ่างเขื่อนวชิราลงกรณ ซอย4 หมู่ 2ต.หนองลู อ.สังขละบุรี ก่อนจะมาขึ้นฝั่งที่ท่าเรือบ้านทิโคร่ง หมู่4ต.ปรังเผล และเดินทางต่อด้วยรถกะบะคันเกิดเหตุ ตามเส้นทาง323 ถ.ทองผาภูมิ-สังขละบุรี ก่อนจะมาเกิดอุบัติเหตุรถยนต์พลิกคว่ำโดยการเดินทางในครั้งนี้ต้องเสียค่าใช้จ่าย คนละ25,000-30,000 ต่อ โดยปลายทางของทั้ง30คน จะเดินทางไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย
จากนั้นเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้นำตัวแรงงานต่างด้าวทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวน สภ.สังขละบุรี และจะรวบรวมหลักฐานติดตามผู้ขับขี่รถยนต์ เพื่อดำเนินคดีตามกฏหมายต่อไป