นายกฯ ย้ำลดดอกเบี้ยสลึงเดียวก็ช่วยปชช.ได้แล้ว - คาดงบประมาณฯ ใช้เร็วสุด 1 เม.ย.67
19 ก.พ. 2567, 16:25
วันนี้ ( 19 ก.พ.67 ) เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุมโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษากุมภวาปี ตำบลเวียงคำ อำเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี นายกเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนถึงกรณีรายงานจาก สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในประเด็น GDP ของประเทศไทยว่าไตรมาสสุดท้ายต่ำไปอยู่ที่ 1.7% โดยรวมได้ 1.9% ว่าเรื่องนี้ได้พูดไปหลายรอบแล้ว เมื่อ 10 ปีที่ผ่านมา GDP ประเทศไทยโตเฉลี่ยกว่า 2.2% ต่ำมาโดยตลอด ต่างกว่าเพื่อนบ้านมาก อันดับ GDP โลก ประเทศไทยก็ลงมาเรื่อย ๆ ตรงนี้ รัฐบาลยังไม่สามารถใช้งบประมาณได้ งบประมาณยังไม่ผ่าน เร็วที่สุดน่าจะเป็น 1 เมษายน 2567 แต่ทุก ๆ กระทรวงใช้นโยบายเป็นตัวขับเคลื่อน เช่น นโยบายพักหนี้ นโยบายแก้ไขหนี้นอก และในระบบ นโยบายฟรีวีซ่า หลายๆ เรื่องพยายามใช้อยู่ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อให้ชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชนดีขึ้น แต่วันนี้เราต้องยอมรับว่ายังไม่มีเม็ดเงินใหม่เข้าไปในระบบเลย
นายกฯ กล่าวว่า ทุก ๆ หน่วยงานได้มีการปรับ GDP ลดลงตลอดเวลาทุก ๆ เดือนที่ออกมา ซึ่งจริง ๆ แล้วน่าจะมีการทำนายที่ชัดเจนมากกว่านี้ ไม่ใช่ปรับลดทุก ๆ เดือน ซึ่งปัจจัยเกิดจากหลายๆ อย่าง เม็ดเงินใหม่ไม่มี ไม่ใช่ GDP เพียงอย่างเดียว Capacity Utilization ก็ต่ำ หมายความว่าการที่เรามีโรงงานผลิตสินค้าออกมาก็ต่ำมาก ใช้ประมาณกว่า 50% ถ้าเกิดมีโรงงาน 100 แต่ใช้ประมาณ 60% แล้วกำไรจะอยู่ตรงไหน ทุก ๆ โรงงานที่มีการอัพเกรดอยู่ตอนนี้ไม่มียอดสั่งซื้อเข้ามา เพราะกำลังซื้อต่ำ เนื่องจากหนี้ครัวเรือนสูง รายได้ไม่มี เงินในกระเป๋าไม่มี รายจ่ายสูง รัฐบาลได้ช่วยไปแล้ว เช่น ลดค่าน้ำมัน ลดค่าไฟ พักหนี้ อะไรที่ไม่มี อะไรที่ทำได้รัฐบาลทำตลอด แต่อย่างหนึ่งที่ขอฝาก นโยบายดอกเบี้ยซึ่งต้องใช้งบประมาณ ดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณ 2.5% ถ้าลดไปครึ่งหนึ่งจะเหลือ 2.25% ก็จะช่วยบรรเทาภาระของพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนได้
ผู้สื่อข่าวถามว่า ส่วนที่นายกรัฐมนตรีได้พูดเรื่องนี้มาตลอดแต่ไม่ได้รับการตอบรับจากธนาคารแห่งประเทศไทยนั้น นายกรัฐมนตรีถามกลับสื่อว่าดอกเบี้ยนโยบายใครเป็นคนควบคุม ก็คือธนาคารแห่งประเทศไทย ตนพูดคุยกับเลขาธิการสภาพัฒนาฯ ก็บอกว่าเราได้ทำทุกวิถีทางแล้ว และมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการลดอัตราดอกเบี้ยซึ่งเลขาธิการสภาพัฒนาฯ ระบุว่าได้คุยกับผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าถึงเวลาที่จะต้องลด ตนเองจึงบอกว่าทำไมไม่พูดคุยต่อหน้าสาธารณชนบ้าง และพูดคุยในภาษาที่ชัดเจน ซึ่ง เลขาสภาพัฒน์ ผู้ว่าฯ ธนาคารแห่งประเทศไทย และตนเองก็จบเศรษฐศาสตร์มา ตรงนี้เราไม่ได้มาเอาชนะกันแต่ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะมีการลดดอกเบี้ยเกิดขึ้น เพื่อรองบประมาณที่จะนำออกมาใช้ ทั้งนี้ ได้สอบถามกับเลขาธิการสภาพัฒนาฯ ว่าสามารถทำอะไรได้อีก หากมีอะไรที่ทำได้ก็ขอให้เสนอมา ตนเองไม่ได้จมปลักอยู่กับการลดดอกเบี้ยอย่างเดียว แต่การลดดอกเบี้ยเป็นการแบ่งเบาภาระของประชาชนคนไทยทุกคน ซึ่งเห็นอยู่แล้วสำหรับตัวเลขที่ออกมา อย่างเช่นนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต ก็พยามที่จะออกมาให้เร็วที่สุด
ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายกังวลว่าการเติมเงินเข้าไปในระบบจำนวน 500,000 ล้านบาท จะทำให้เงินเฟ้อ นายกรัฐมนตรีชี้แจงว่า ปัจจุบันนี้ตัวเลขเงินเฟ้อติดลบอยู่แล้ว หากจะบอกว่าติดลบจากการที่รัฐบาลช่วยเหลือประชาชนผ่านมาตรการลดราคาน้ำมัน หรือพยุงราคาไฟฟ้า ซึ่งหากถอดดัชนีตรงนี้ออกไปเงินเฟ้อขึ้นมาไม่ถึง 1% ยังไม่ถึงกรอบต่ำสุด หลายเรื่องที่รัฐบาลทำต้องใช้เวลารวมไปถึงโครงการ Digital Wallet ด้วย หากทุกคนเห็นด้วยและพิสูจน์ให้ได้ว่าไม่มีการทุจริต และประพฤติมิชอบ ก็จะพยามทำให้เร็วที่สุด อยากจะให้เกิดขึ้น ภายในเดือนพฤษภาคม และนโยบายอื่นก็พยายามดำเนินการอยู่ ซึ่งรัฐบาลพยายามดำเนินการทุกอย่างที่สามารถทำได้ ณ วันนี้ ยินดีรับฟังว่าอยากให้รัฐบาลทำอะไร แต่ต้องคำนึงว่างบประมาณสามารถใช้ได้หรือไม่ อย่างเร็วที่สุด 1 เมษายน ซึ่งพยามเร่งอยู่แล้ว
ผู้สื่อข่าวถามว่าเรื่องที่มีการเสนอแนวคิดเข้ามามากมาย ท่านนายกจะเดินหน้าโดยไม่ต้องพะว้าพะวังได้หรือยัง เรื่องเงิน Digital Wallet นายกรัฐมนตรีตอบกลับว่า ตามที่บอกไปมีทั้ง ป.ป.ช. และคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอมา นายกฯ ก็รับฟัง ถ้าไม่รับฟังเดี๋ยวก็มาบอกอีกว่าไม่รับฟัง พยายามรับฟังอยู่ในกรอบเวลาให้เร็วมากที่สุด ทางเลขาธิการธนาคารแห่งประเทศไทยพึงเห็นจึงขอเวลา นายกฯ เองก็ยินดี และหากมีอะไรให้บอกมา ยินดีรับฟัง