นายกฯ หารือ รมว.ต่างประเทศเวียดนาม ยกระดับความสัมพันธ์สองประเทศสู่หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์
11 เม.ย. 2567, 12:12
วันนี้ ( 11 เม.ย.67 ) เวลา 10.00 น. ณ ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นาย บุ่ย แทงห์ เซิน (H.E. Mr. Bui Thanh Son) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม เข้าเยี่ยมคารวะ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในโอกาสเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของกระทรวงการต่างประเทศ โดยภายหลังเสร็จสิ้นการหารือ นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยสาระสำคัญของการหารือ ดังนี้
นายกรัฐมนตรียินดีกับความสัมพันธ์ไทย - เวียดนามที่มีพลวัตอย่างต่อเนื่อง โดยไทยพร้อมที่จะเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการและเป็นประธานร่วมในการประชุมร่วมนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอย่างไม่เป็นทางการ (Joint Cabinet Retreat: JCR) ไทย - เวียดนาม ครั้งที่ 4 ในช่วงเดือนมิถุนายน 2567 โดยเฉพาะการทำงานผ่านกรอบยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิรวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง (ACMECS) ซึ่งทั้งสองประเทศต่างมีศักยภาพและเป็นประเทศที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจหลักในอาเซียน จึงควรร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเพื่อสนับสนุนสันติภาพควบคู่กับการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาค
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเวียดนามเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เข้าพบนายกรัฐมนตรีในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีใหม่ของไทย โดยแสดงความปรารถนาดีและยินดีกับความสำเร็จของรัฐบาลในการมุ่งฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจไทย ซึ่งเชื่อมั่นว่านายกรัฐมนตรีจะผลักดันบทบาทของไทย และช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจให้แก่ภูมิภาคด้วย โดยเวียดนามพร้อมต้อนรับการเยือนของนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะเป็นโอกาสอันดีที่จะประกาศยกระดับความสัมพันธ์เป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์รอบด้าน (Comprehensive Strategic Partnership) การผลักดันความร่วมมือด้านการค้าการลงทุน ซึ่งทั้งสองประเทศสามารถเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจในภูมิภาคได้ รวมไปถึงการส่งเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในภูมิภาคให้แข็งแกร่ง
โอกาสนี้ ทั้งสองฝ่ายได้หารือในประเด็นความร่วมมือที่สำคัญ ดังนี้
ด้านการค้าการลงทุน นายกรัฐมนตรีขอบคุณเวียดนามที่อำนวยความสะดวกการขนส่งสินค้าของไทยผ่านด่านชายแดนเวียดนาม - จีน โดยเฉพาะการส่งออกผลไม้ไทย ขณะที่เวียดนามกล่าวว่า มูลค่าทางการค้าของทั้งสองประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเวียดนามพร้อมสนับสนุนการทำงานเพื่อเพิ่มมูลค่าและอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงตลาดสินค้าของทั้งไทยและเวียดนามให้มากขึ้น
ด้านการท่องเที่ยว เห็นพ้องที่จะเชื่อมโยงเส้นทางการบินระหว่างไทยและเวียดนามในอนาคต โดยเฉพาะเมืองสำคัญที่เป็นจุดหมายของการท่องเที่ยว ซึ่งทั้งสองประเทศต่างเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยอดนิยมระหว่างกัน อีกทั้งยินดีหารือต่อเนื่องเพื่อพิจารณาโครงการ “6 ประเทศ 1 จุดหมายปลายทาง” (Six Countries, One Destination) เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากนอกภูมิภาคให้มากขึ้นและส่งเสริมให้ประเทศในภูมิภาคเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งเดียว นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีเสนอแนะถึงการเพิ่มเที่ยวบินตรงจากท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี ซึ่งจังหวัดอุดรธานีมีความพร้อมรองรับเที่ยวบินนานาชาติ ซึ่งเวียดนามยินดีนำข้อเสนอดังกล่าวไปพิจารณา โดยเห็นว่าทั้งสองประเทศต่างมีศักยภาพและสามารถเป็นผู้นำในการพัฒนาด้านโลจิสติกส์และส่งเสริมการท่องเที่ยวทั้งหมดสำหรับทั้งภูมิภาคได้ รวมทั้งยินดีที่นายกรัฐมนตรีได้มีโอกาสเยี่ยมชมอนุสรณ์สถานประธานโฮจิมินห์ ณ จังหวัดนครพนม เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความประทับใจให้กับชาวเวียดนามและเชื่อมั่นว่าจะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวได้มากขึ้น
ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาค ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะประสานงานร่วมกันเพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะการเชื่อมต่อถนนระหว่างประเทศไทย ลาว และเวียดนาม เพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับการค้าและการลงทุน รวมไปถึงการเป็นเส้นทางการท่องเที่ยวเพื่อแลกเปลี่ยนความสัมพันธ์ในระดับประชาชน โดยทั้งสองฝ่ายพร้อมจะพัฒนาเส้นทางร่วมกันได้ในอนาคต