ชาวนาโวยถูกสวมสิทธิ์รับพันธุ์ข้าวไปขายต่อแจ้งเอาผิด
27 พ.ค. 2567, 18:23
เมื่อเวลา 11.00 น.วันนี้ 27 พ.ค.ได้มีชาวนากลุ่มเกษตรกรปลูกข้าวจำนวน 30 ราย จากหมู่บ้านหนองทุ่ม หมู่ 2 บ้านหนองบัวน้อย หมู่ 5 และบ้านนาสาร หมู่ 6 ตำบลสีชมภู อำเภอพรเจริญ จังหวัดบึงกาฬ ได้เข้าเดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.เทพพิทักษ์ ผกานนท์ สว.(สอบสวน) สภ.ดอนหญ้านาง อำเภอพรเจริญ เพื่อแจ้งให้ดำเนินคดีกับผู้ที่แอบอ้างว่าเป็นประธานกลุ่มโครงการส่งเสริมการเปลี่ยนเมล็ดพันธุ์ข้าวบึงกาฬ โดยมี นายศรีอุบล อินทิวงษา เป็นแกนนำกลุ่มผู้เสียหายจำนวน 30 คน ซึ่งการแจ้งความร้องทุกข์วันนี้มีผู้สูงอายุ 83 ปีก็มี เช่นนางแกน ก่อคุณ บ้านเลขที่ 29 หมู่ 2 ส่วนมากที่มาเป็นผู้หญิงสูงวัยและถูกบุคคลที่อุปโลกน์แอบอ้างว่าเป็นประธานกลุ่มไปใช้สิทธิ์ขอซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวจากศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวจังหวัดบึงกาฬที่ ตั้งอยู่ในตำบลดอนหญ้านาง อำเภอพรเจริญ นำพันธุ์ข้าวออกมาขายต่อ
นายศรีอุบล อินทิวงษา กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ในจำนวนนี้ก็ยังมีผู้ที่เสียชีวิตไปแล้วและถูกแอบอ้างสวมสิทธิ์นำเมล็ดพันธุ์ข้าวออกมาปลูกในฤดูกาลปลูกที่ผ่านมานั้น คือปี 2566 จึงสร้างความเสียหายและตกอกตกใจแก่ผู้ที่ได้รับการสวมสิทธิ์เกรงว่าจะเป็นหนี้เป็นสินกับทางรัฐบาลเหมือนที่เป็นข่าวหลายเรื่องผ่านมา ก็คือราย นายจันทร์ อาสาวิเศษ อยู่บ้านเลขที่ 35 หมู่ 6 ตำบลสีชมภู ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่วันที่ 14 มกราคม 2566 แต่หลังจากการตายประมาณ 3 เดือนได้ถูกผู้ที่แอบอ้างว่าเป็นประธานกลุ่มสวมสิทธิ์เบิกพันธุ์ข้าวออกมาซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นการสวมสิทธิ์ออกมาเพื่อนำเมล็ดพันธุ์ข้าวไปขายต่อ ทราบว่าเมล็ดพันธุ์ข้าว 25 กิโลกรัมต่อ 1 ถุงนั้นผู้ที่ไปเบิกจะต้องจ่ายเงินจำนวน 100 บาทต่อ 1 ถุงหรือ 25 กิโลกรัม ทราบว่าได้นำเมล็ดพันธุ์ข้าวที่สวมสิทธิ์มานั้นไปขายต่อในราคา 6-700 บาทต่อถุงต่อ 25 กิโลกรัม ซึ่งในแบบฟอร์มได้ระบุไว้ว่า”ห้ามนำไปจำหน่าย”
นายศรีอุบล อินทิวงษา เล่าให้ฟังต่อว่าความแตกเมื่อผู้ที่ถูกสวมสิทธิ์ได้ไปขอซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวจากศูนย์เพาะพันธุ์ข้าวเพื่อมาปลูกในฤดูกาลปลูกข้าวปี 2567 นี้ แต่ถูกทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่าเคยได้รับเมล็ดพันธุ์ข้าวไปแล้วเมื่อปี 2566 ผ่านมา ทุกคนที่ถูกสวมสิทธิ์จึงเอะใจว่าไม่เคยมาขอเบิกหรือซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวจากทางศูนย์เลย ทำไมต้องมีชื่อในการเบิกเมล็ดพันธุ์ข้าวในครั้งนี้ด้วย จึงได้ขอดูเอกสารซึ่งเป็นแบบฟอร์มใบรับเมล็ดพันธุ์ข้าวจากทางศูนย์และขอคัดสำเนาออกมาดูด้วยจึงพบว่ามีบุคคลที่แอบอ้างเป็นประธานกลุ่มและมีพวกตนเป็นสมาชิกในกลุ่มด้วย ทั้งๆ ที่ไม่เคยสมัครสมาชิกกลุ่มนี้เลยบางคนยังไม่เคยมาหรือเห็นศูนย์ฯ ด้วยซ้ำไป และก็ไม่เคยให้เลขบัตรประชาชนไป แต่ทำไมในใบรับเมล็ดพันธุ์ข้าวมีชื่อพวกตนซื้อเมล็ดพันธุ์ข้าวออกไปและเป็นเม็ดพันธุ์ข้าวดอกมะลิ 105 บางคนก็ 100 กิโลกรัมก็มีและสูงสุดถึง 450 กิโลกรัม ผู้ที่ถูกสอนสิทธิ์หลายคนเป็นผู้สูงอายุบางคนก็เขียนชื่อตัวเองไม่ได้ ต้องปั๊มลายนิ้วมืออย่างเดียว แต่ที่ในแบบฟอร์มการรับเมล็ดพันธุ์ข้าวกับกลายเป็นว่ามีลายเซ็นของทุกคนที่รับเมล็ดพันธุ์ข้าวออกไป บางคนแก่แล้วมีแต่ที่นายกให้ลูกๆ ไปแล้ว ไม่ได้ทำนามาหลายปี ดูๆเหมือนกับว่าเป็นลายมือของคนคนเดียวกันจึงนำเอกสารรับเมล็ดพันธุ์ข้าวดังกล่าวมอบให้พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐานในการเรียกผู้ที่แอบอ้างเป็นประธานกลุ่มมาสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย
จากแบบฟอร์มดังกล่าวทราบว่าผู้ที่แอบอ้างเป็นประธานกลุ่มมีชื่อว่า นายเมธี จันนน ซึ่งเป็นบุคคลในหมู่บ้านเดียวกันกับชาวนาที่เข้ามาร้องเรียนในวันนี้ ถึงอยากให้พนักงานสอบสวนเรียกตัวผู้ที่แอบอ้างพร้อมพยาน 2 คนมาเพื่อสอบสวนและดำเนินคดี ในเวลาต่อมานายเมธี จันนน พร้อมพวกที่อ้างว่าเป็นพยาน 2 คนได้เดินทางมาพบพนักงานสอบสวนและยอมรับว่าตนเองได้ปลอมแปลงรายมือชื่อชาวนาจำนวน 30 คนดังกล่าวขึ้นจริง จึงขอเจรจาชดใช้ค่าเสียหายแต่ชาวนาที่มาไม่ยอมจึงยังมีการต่อรองกันอยู่และหลายคนก็ยืนยันว่าไม่ขอเจรจาชดใช้ค่าเสียหายหรือยินยอมใดๆ และขอยืนยันจะดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้ที่แอบอ้างทั้ง 3 คนให้ถึงที่สุดดังกล่าว ทุกคนที่เข้ามาแจ้งความร้องทุกข์ ต่างพูดเสียงเดียวกันว่า ทีพวกปลอมลายมือมาซื้อพันธุ์ข้าวทำไมเอาออกไปได้ แต่พอพวกตนมาบ้าง จนท.กลับขอบัตรประชาชนไปถ่ายเก็บไว้เป็นหลักฐาน จึงเชื่อว่าน่าจะมีเจ้าหน้าที่ในศูนย์ฯ บางคนมีเอี่ยวในครั้งนี้ด้วย
ต่อมาผู้สื่อข่าวเดินทางไปพบกับ นายนิพนธ์ คนขยัน ส.ส เขต 3 พรรคเพื่อไทย ซึ่งมีบ้านอยู่ในตำบลเดียวกันกับผู้ที่แอบอ้างเป็นประธานกลุ่มและชาวนาผู้เสียหาย โดยนายนิพนธ์ได้แจ้งผ่านผู้สื่อข่าวว่าขอให้ชาวนาที่ถูกสวนสิทธิ์ได้ทำหนังสือร้องเรียนมาถึงตนจะดำเนินการแจ้งไปถึง รมว.เกษตรและสหกรณ์ คือร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า ให้รับทราบเพื่อขอคืนสิทธิ์ให้แก่ชาวนาเพื่อเบิกเมล็ดพันธุ์ข้าวมาปลูกในฤดูการปลูก 2567 นี้ได้ทัน ส่วนเจ้าหน้าที่หรือประชาชนที่ทำผิดก็ให้ตำรวจดำเนินการสืบสวนสอบสวนหาข้อเท็จจริงว่ามีการกระทำความผิดในขั้นตอนใดอย่างไรบ้าง หากพบผู้กระทำความผิดจริงก็ให้ดำเนินคดีตามกฎหมายเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป.