"มหาเถรสมาคม-สำนักพุทธฯ" แจ้งวัดทั่วประเทศ ยกเลิกบังคับตรวจ "HIV" ก่อนบวชแล้ว
1 มิ.ย. 2567, 06:52
วันที่ 31 พ.ค. 67 นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยในการแถลงข่าวประจำสัปดาห์ของสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ว่า ตามที่ กสม. ได้ตรวจสอบเรื่องร้องเรียนกรณีวัดแห่งหนึ่ง ในเขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร กำหนดให้ผู้สมัครบรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ต้องแสดงผลการตรวจสุขภาพและการตรวจหาเชื้อเอชไอวี (HIV)
โดย กสม. ได้มีมติเมื่อเดือนกันยายน 2566 มีข้อเสนอแนะไปยังวัดดังกล่าว ให้ยกเลิกการตรวจหาเชื้อเอชไอวีของผู้ประสงค์จะเข้ารับการอุปสมบท และให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แจ้งเวียนไปยังวัดที่อยู่ในสังกัดทุกวัดไม่ให้บังคับตรวจหาเชื้อเอชไอวีของผู้ประสงค์จะเข้ารับการอุปสมบท เพื่อมิให้มีการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมโดยใช้เหตุแห่งการติดเชื้อเอชไอวีมาเป็นข้อจำกัดที่ลิดรอนโอกาสในการเข้าถึงเสรีภาพในการปฏิบัติธรรมตามหลักศาสนาพุทธ
ทั้งนี้ เนื่องจากมีข้อมูลทางการแพทย์ยืนยันว่า เชื้อเอชไอวีจะไม่ติดต่อจากการทำกิจวัตรประจำวันทั่วไป ไม่ติดต่อผ่านทางระบบหายใจ อีกทั้งเป็นเชื้อที่ตายง่ายเมื่ออยู่นอกร่างกาย หากผู้ติดเชื้อได้รักษาอย่างถูกต้องด้วยการรับประทานยาต้านเชื้ออย่างต่อเนื่อง จะทำให้มีสุขภาพแข็งแรง และดำรงชีวิตได้เช่นเดียวกับคนปกติทั่วไป ประกอบกับกฎมหาเถรสมาคมกำหนดเพียงว่าผู้ประสงค์จะบรรพชาต้องเป็นผู้มีร่างกายสมบูรณ์
และมีเพียงข้อห้ามที่ไม่อนุญาตให้บรรพชาอุปสมบทแก่คนที่มีโรคติดต่อเป็นที่น่ารังเกียจ เช่น วัณโรคในระยะอันตราย เท่านั้น โดยให้เป็นดุลพินิจของพระอุปัชฌาย์ แต่การใช้ดุลพินิจดังกล่าวต้องสอดคล้องกับข้อเท็จจริงอย่างสมเหตุสมผลตามบริบทของสังคมไทยและข้อมูลทางการแพทย์ โดยต้องคำนึงถึงสิทธิและเสรีภาพของบุคคลด้วย ซึ่งล่าสุด เมื่อเดือนเมษายน 2567 สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้มีหนังสือแจ้งการแก้ไขปัญหาตามข้อเสนอแนะของ กสม. โดยแจ้งมติมหาเถรสมาคม เรื่อง การตรวจหาเชื้อเอชไอวี (HIV) กรณีบรรพชาอุปสมบทแก่บุคคลทั่วไป
ระบุว่า มหาเถรสมาคมได้มีมติที่ 313/2567 รับทราบความเห็นของกระทรวงสาธารณสุขตามรายงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติว่า การติดเชื้อเอชไอวีไม่ใช่โรค จึงไม่เข้าข่ายเป็นโรคที่น่ารังเกียจตามกฎมหาเถรสมาคม ประกอบกับมีความเห็นของศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ ที่ปรึกษามหาเถรสมาคมว่า การบังคับให้ผู้หนึ่งผู้ใดต้องตรวจหาเชื้อเอชไอวี ไม่อาจกระทำได้ตามกฎหมาย
อนึ่ง มตินี้ไม่กระทบกระเทือนต่อหน้าที่และอำนาจของพระอุปัชฌาย์และเจ้าอาวาสที่จะคัดกรองกุลบุตรและปกครองพระภิกษุสามเณรในสังกัด และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้ดำเนินการแจ้งเจ้าคณะใหญ่ทราบ และแจ้งพระอุปัชฌาย์ ถือปฏิบัติตามมติมหาเถรสมาคม เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่ง กสม. ขอชื่นชมมหาเถรสมาคมและสำนักงานพระพุทธศาสนา ที่ได้ตรวจสอบและดำเนินการแก้ไขเรื่องนี้โดยเร็ว อีกทั้งได้แจ้งให้พระสังฆาธิการระดับสูง และพระอุปัชฌาย์ ทราบแล้ว
“บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องสภาพทางกาย หรือสุขภาพ จะกระทำมิได้ นอกจากนี้ บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการนับถือศาสนารวมทั้งการปฏิบัติหรือประกอบพิธีกรรมตามหลักศาสนาของตน หลักการเหล่านี้เป็นหลักสิทธิมนุษยชนสากลซึ่งสอดคล้องและเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 27 ประกอบมาตรา 31” นายวสันต์ กล่าว