นายกฯ เผย ครม.อนุมัติหลักการ กำหนดปริมาณครอบครอง "ยาบ้า 1 เม็ด" เป็นผู้เสพ
11 มิ.ย. 2567, 14:56
วันนี้ ( 11 มิ.ย.67 ) เวลา 12.40 น. ณ บริเวณโถงกลาง ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอร่างกฎหมายเพิ่มปริมาณให้โทษกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ที่ให้สันนิษฐานว่ามีในครอบครองเพื่อเสพ โดยสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ยาบ้า ยาไอซ์ ที่ให้สันนิษฐานว่ามีในครอบครองเพื่อเสพ กำหนดให้มีปริมาณแอมเฟตามีน ยาบ้า มีปริมาณไม่เกิน 1 หน่วยการใช้ หรือหนักสุทธิไม่เกิน 100 มิลลิกรัม เดิมมีกำหนดไว้ไม่เกิน 5 เม็ด หรือปริมาณ 500 มิลลิกรัม และกำหนดให้ปริมาณแอมเฟตามีน ยาไอซ์ มีปริมาณไม่เกิน 1 หน่วย โดยให้สํานักงานกฤษฎีกาตรวจสอบความชัดเจนอีกครั้ง
ขณะที่ นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีเห็นชอบอนุมัติหลักกการร่างกฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ที่ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ที่ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ พ.ศ. 2567 เพื่อกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 (แอมเฟตามีนและเมทแอมเฟตามีน) ที่ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพใหม่ เพื่อให้การกำหนดปริมาณยาเสพติดดังกล่าว สอดคล้องกับสถาณการณ์ยาเสพติดปัจจุบัน ทั้งนี้ กฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ที่ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ พ.ศ.2567 มีผลให้ใช้บังคับเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมและมีผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมากไม่เห็นด้วยกับการกำหนดปริมาณแอมเฟตามีนและเมทแอมเฟตามีน และมีข้อร้องเรียนให้พิจารณาทบทวนปรับปรุงหรือยกเลิกกฎกระทรวงดังกล่าวรวมถึงปัญหาการตีความและการบังคับใช้
นายคารม กล่าวว่า เพื่อเป็นหลักให้กับผู้ปฏิบัติงานและเป็นแนวทางในการดำเนินการด้านยาเสพติดที่รัดกุม ชัดเจน และสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน รวมถึงเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประชาชน นายกรัฐมนตรีจึงได้สั่งการให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ดำเนินการแก้ไขกฎกระทรวงตามข้อ 2. ให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย และหลักการ “เปลี่ยนผู้เสพ เป็นผู้ป่วย” ที่ให้โอกาส ผู้เสพได้พิจารณาให้เข้ารับการบำบัดรักษา ซึ่งต่อมา สธ. ได้แต่งตั้งคณะทำงานทบทวนกฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ที่ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ พ.ศ. 2567 โดยที่ประชุมคณะทำงานดังกล่าวได้ประเมินผลกระทบจากกฎกระทรวงดังกล่าวพบว่าเกิดผลกระทบในด้านสังคม กฎหมาย และการแพทย์ จึงได้มีมติเห็นชอบให้แก้ไขกฎกระทรวงดังกล่าวโดยแก้ไขเฉพาะปริมาณแอมเฟตามีน (ยาบ้า) และเมทแอมเฟตามีน (ยาไอซ์) โดยกำหนดให้ปริมาณแอมเฟตามีน มีปริมาณไม่เกิน 1 หน่วยการใช้ หรือมีน้ำหนักสุทธิไม่เกิน 100 มิลลิกรัม และเมทแอมเฟตามีน มีปริมาณไม่เกิน 1 หน่วยการใช้ หรือมีน้ำหนักสุทธิไม่เกิน 100 มิลลิกรัม หรือในกรณีที่เป็นเกล็ด ผง ผลึก มีน้ำหนักสุทธิไม่เกิน 20 มิลลิกรัม สธ. จึงได้ยกร่างกฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ที่ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพฯ ดังนี้ การมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ประเภท 2 หรือประเภท 5 หรือวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 หรือประเภท 2 ในปริมาณเล็กน้อย ตามที่กำหนดดังต่อไปนี้ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ ได้แก่ 1) แอมเฟตามิน มีปริมาณไม่เกินหนึ่งหน่วยการใช้หรือมีน้ำหนักสุทธิไม่เกินหนึ่งร้อยมิลลิกรัม 2) เมทแอมเฟตามิน มีปริมาณไม่เกินหนึ่งหน่วยการใช้หรือมีน้ำหนักสุทธิไม่เกิดหนึ่งร้อยมิลลิกรัม หรือในกรณีที่เป็นเกล็ด ผล ผลึก มีน้ำหนักสุทธิไม่เกินยี่สิบมิลลิกรัม
“ร่างกฎกระทรวงฯ ที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ที่ให้สันนิษฐานว่ามี ไว้ในครอบครองเพื่อเสพ พ.ศ. 2567 เพื่อกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ที่ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ โดยได้กำหนดให้แอมเฟตามีน (ยาบ้า) มีปริมาณไม่เกิน 1 เม็ด หรือมีน้ำหนักสุทธิไม่เกิน 100 มิลลิกรัม (เดิมกำหนดไว้ไม่เกิน 5 เม็ด หรือมีน้ำหนักสุทธิ ไม่เกิน 500 มิลลิกรัม) และกำหนดให้เมทแอมเฟตามีน (ยาไอซ์) มีปริมาณไม่เกิน 1 เม็ด หรือมีน้ำหนักสุทธิไม่เกิน 100 มิลลิกรัม หรือในกรณีที่เป็นเกล็ด ผง ผลึก มีน้ำหนักสุทธิไม่เกิน 20 มิลลิกรัม (เดิมกำหนดไว้ไม่เกิน 5 หน่วยการใช้ หรือมีน้ำหนักสุทธิไม่เกิน 500 มิลลิกรัม หรือในกรณีที่เป็นเกล็ด ผง ผลึก มีน้ำหนักสุทธิไม่เกิน 100 มิลลิกรัม) เพื่อให้เจ้าหน้าที่ ตำรวจ ศาลหรือผู้เกี่ยวข้อง มีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจน สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน และเป็นไปเจตนารมณ์ ของกฎหมายที่ต้องการให้โอกาสแก่ผู้ที่ครอบครองยาเสพติดหรือวัตถุออกฤทธิ์ไว้เพื่อการเสพ โดยไม่ถือเป็นโทษความผิดร้ายแรงและได้รับการพิจารณาให้เข้ารับการบำบัดรักษา โดยให้พิจารณาควบคู่กับพฤติกรรมอื่นที่เกี่ยวกับการจำหน่ายยาเสพติด หรือระดับความรุนแรงของการเสพยาเสพติดของบุคคลนั้นร่วมด้วย รวมทั้งเพื่อป้องกันการแพร่กระจายยาเสพติดและการใช้ยาเสพติดอันเป็นการอำนวยความสะดวกแก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานในการจำแนกระหว่างผู้ค้ากับผู้เสพซึ่งการกำหนดปริมาณไม่เกิน 1 หน่วยการใช้หรือ 1 เม็ด จะทำให้ผู้ค้ารายย่อยลดลง ถือเป็นการตัดวงจรการแพร่ระบาดของยาเสพติดและลดการถือครองยาเสพติดเพื่อค้า” นายคารม ย้ำ