ตำรวจภาค 7 แถลงจับกุมผู้ต้องหาลักทรัพย์เสาสัญญาณ พร้อมของกลางผู้ต้องหา 5 คน
7 ต.ค. 2567, 23:03
เมื่อที่ 7 ตุลาคม เวลา 10.00 น.ณ.ห้องโถงชั้น 1 อาคาร ภ.7 (แห่งใหม่) ถ.ขวาพระ อ.เมือง จ.นครปฐม พล.ต.ท.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบช.ภ.7 พล.ต.ต.ชมชวิณ ปุระธนานนท์ รอง ผบช.ภ.7 พล.ต.ต.ประสพชัย มัตสยะวนิชกูล ผบก.สส.ภ.7 พล.ต.ต.สุวรรณ์ เชี่ยวนาวินธวัช ผบก.ภ.จว.นครปฐมพล.ต.ต.วชิรพงษ์ อมราพิทักษ์ ผบก.ภ.จว.ราชบุรีร่วมแถลงข่าว การจับกุมผู้ต้องหาลักทรัพย์เสาสัญญาณโทรเคลื่อนที่ ของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชัน จำกัด มหาชน
ผลการปฏิบัติการสืบสวนขยายผล คดีลักอุปกรณ์เสาสัญญาณโทรศัพท์ เครือข่ายทรูมูฟ-ดีแทค ในพื้นที่ ตํารวจภูธรภาค 7ในห้วงเดือน สิงหาคม ถึง กันยายน 2567 ตํารวจภูธรภาค 7 ได้รับแจ้งเหตุคนร้ายก่อเหตุลักอุปกรณ์เสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ เช่น Baseband Controller อุปกรณ์กระจายสัญญาณอินเตอร์เน็ต เป็นต้น ซึ่งเป็นของผู้ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์เครือข่ายทรูมูฟ – ดีแทค ในพื้นที่จังหวัดราชบุรี 11 แห่ง และ จังหวัดกาญจนบุรี 4 แห่ง ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อระบบโทรคมนาคม ซึ่งส่งผลกระทบให้ประชาชน ในพื้นที่ผู้ใช้บริการเครือข่ายดังกล่าวได้รับความเดือดร้อนในการติดต่อสื่อสาร
ต่อมา เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2567 ภ.จว.ราชบุรี ได้ทําการสืบสวนจับกุมผู้ก่อเหตุ จํานวน 2 ราย คือ 1.1 นายวัชรพล หรือ มอส อายุ 30 ปี ภูมิลําเนา อ.สวี จว.ชุมพร ข้อหา ร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทําความผิด หรือพาทรัพย์นั้นไป ปัจจุบันประกอบอาชีพ เป็นผู้รับจ้างเหมางานจากบริษัทผู้ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์ และเป็นผู้ครอบครองรถยนต์กระบะ ที่ใช้ในการก่อเหตุ
มีประวัติคดีอาญา ข้อหา เสพยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ของ สภ.สวี จว.ชุมพรข้อหา พรากเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ของ สภ.สวี จว.ชุมพรข้อหา ครองครองยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ของ สภ.บ้านในหูต จว.ชุมพรนายสามารถ หรือ มาด อายุ 34 ปี ภูมิลําเนา อ.เมืองกาญจนบุรี จว.กาญจนบุรีข้อหา ร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทําความผิด หรือพาทรัพย์นั้นไป เคยมีประวัติคดีอาญา ข้อหา ตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ ของ สภ.ลาดหญ้า จว.กาญจนบุรี
โดยนายวัชรพลฯ ได้นําอุปกรณ์ฯ ที่ลักมานําไปขายให้กับผู้รับซื้อ ซึ่งเป็นชาวต่างชาติ ที่บ้านพัก ต.บางบัวทองซึ่งในห้วงเดือน กันยายน ถึง ตุลาคม 2567 ได้เกิดเหตุลักอุปกรณ์เสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ ของผู้ให้บริการสัญญาณ โทรศัพท์เครือข่ายทรูมูฟ – ดีแทค ในพื้นที่ จว.นครปฐม จํานวน 9 แห่ง โดยเมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2567 ภ.จว.นครปฐม ได้สืบสวนจับกุมผู้ก่อเหตุ จํานวน 2 ราย คือนายณฐพัฒน์ หรือพัฒน์ อายุ 21 ปี ภูมิลําเนา อ.กระทุ่มแบน จว.สมุทรสาคร ปัจจุบันประกอบอาชีพเกี่ยวกับการรับจ้างติดตั้ง และรื้อถอนเสาสัญญาณโทรศัพท์
ข้อหา :ร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทําความผิดหรือพาทรัพย์นั้นไป
ไม่เคยต้องโทษคดีอาญามาก่อนน.ส.รติมา หรือเจน อายุ 24 ปี ภูมิลําเนา อ.ดอนตูม จ นครปฐมข้อหา ร่วมกันลักทรัพย์โดยใช้ยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทําความผิด หรือพาทรัพย์นั้นไป เป็นผู้ครอบครองรถยนต์เก๋งที่ใช้ในการก่อเหตุ
ไม่เคยต้องโทษคดีอาญามาก่อน
ผลการปฏิบัติการสืบสวนขยายผล คดีลักอุปกรณ์เสาสัญญาณโทรศัพท์ เครือข่ายทรูมูฟ-ดีแทค ในพื้นที่ ตํารวจภูธรภาค 7โดยนายณฐพัฒน์ฯ ได้นําอุปกรณ์ฯ ที่ลักมานําไปขายให้กับ นายพงษ์พัฒน์ หรือไอ ที่ประกาศรับซื้ออุปกรณ์ฯ ดังกล่าว ผ่านทาง Facebook และได้นําส่งอุปกรณ์ฯ ให้กับนายพงษ์พัฒน์ฯ ผ่านทางบริษัทขนส่งสินค้าเอกชน
ต่อมา เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2567 ฝ่ายสืบสวน ตํารวจภูธรภาค 7 ร่วมกับ ตํารวจภูธรภาค 3 ได้สืบสวนขยายผลจับกุมผู้ต้องหา จํานวน 1 ราย คือ
นายพงษ์พัฒน์ หรือไอ อายุ 35 ปี ภูมิลําเนา อ.ห้วยแถลง จว.นครราชสีมาเคยประกอบอาชีพเป็น วิศวกรของบริษัทอุปกรณ์สื่อสารข้อหา รับของโจร ไม่เคยต้องโทษคดีอาญามาก่อนโดยทําการตรวจค้นบ้านพัก และ IOSFarm ของนายพงษ์พัฒน์ฯ พบอุปกรณ์เสาสัญญาณโทรศัพท์ และอุปกรณ์อื่นๆ จํานวนทั้งสิ้น 23 รายการ ซึ่งมีอุปกรณ์ฯ ที่ถูกลักมาจากในพื้นที่ จ.นครปฐม จํานวน 2 รายการ ในส่วนอุปกรณ์ฯ รายการอื่น อยู่ระหว่าง การตรวจสอบของเจ้าหน้าที่บริษัทผู้ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์ ซึ่งอุปกรณ์ฯ ที่นายพงษ์พัฒน์ฯ รับซื้อจะนําส่งไปขายต่อยังผู้รับซื้อต่างประเทศ
สรุปการดําเนินการคดีลักอุปกรณ์เสาส่งสัญญาณโทรศัพท์ ในพื้นที่ตํารวจภูธรภาค 7 จับกุมได้ 24 คดี ผู้ต้องหา 5 คนของกลาง รวมทั้งสิ้น 43 รายการ จํานวน 357 ชิ้นมูลค่าของกลางที่ตรวจยึด ราคาประมาณ 22,500,000 บาทตํารวจภูธรภาค 7 ตระหนักว่าจากเหตุการณ์ดังกล่าว ประชาชนได้รับความเดือดร้อนในการใช้สัญญาณโทรศัพท์และ สัญญาณอินเตอร์เน็ต จึงได้ให้คําแนะนํากับบริษัทผู้ให้บริการสัญญาณโทรศัพท์ เรื่องแนวทางการป้องกันเหตุ และการเพิ่มมาตรการรักษา ความปลอดภัยจุดติดตั้งเสาสัญญาณโทรศัพท์ เช่น เพิ่มระบบป้องกัน การติดตั้งกล้อง CCTV เพื่อเป็นประโยชน์ในการสืบสวนจับกุมผู้กระทําผิด เมื่อเกิดเหตุ และเป็นพยานหลักฐานในการดําเนินคดีต่อไป