“พัฒนา” กล่าวถ้อยแถลงเปิดประชุม World Summit หนุนลงทุนเทคโนโลยีสุขภาพ-ดิจิทัล ตั้งเป้า 5 ปี ยุติระบาดวัณโรค ลดอุบัติเหตุ
3 พ.ย. 2568, 15:21

พร้อมเป็นผู้นำขับเคลื่อนวาระการพัฒนาอย่างยั่งยืน ค.ศ.2030  รุกลงทุนเชิงกลยุทธ์ด้านเทคโนโลยีสุขภาพ เปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัล หวังก้าวข้าม 2 เป้าหมายสำคัญ ทั้งยุติการระบาดของวัณโรค และลดการบาดเจ็บเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนลงครึ่งหนึ่ง
    
วันนี้ (3 พฤศจิกายน 2568) ที่ศูนย์ประชุมสหประชาชาติ กรุงเทพฯ นายพัฒนา พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วมพิธีเปิดการประชุม World Summit on Sustainable Health and Well-Being 2025 จัดโดย สภาการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Council :SDC) ซึ่งเป็นเวทีการประชุมของรัฐมนตรี ผู้กำหนดนโยบาย ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ และผู้นำระดับโลกจากทุกภูมิภาค เพื่อร่วมกันรับรองแผนปฏิบัติการระดับโลกเพื่อความครอบคลุมด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Global Roadmap for Universal Health Coverage and Well-Being) ยืนยันพันธสัญญาระหว่างประเทศ เสริมสร้างความร่วมมือ และส่งเสริมความเสมอภาคและความยืดหยุ่นของระบบสุขภาพทั่วโลก โดยนายพัฒนาได้กล่าวถ้อยแถลงภายในการประชุมว่า กระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนเป้าหมาย “วาระการพัฒนาอย่างยั่งยืน ค.ศ. 2030” โดยเชื่อมั่นว่าความร่วมมือคือหนทางเดียวสู่ความสำเร็จ อย่างไรก็ตาม แม้ประเทศไทยจะมีพื้นฐานที่มั่นคงในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า แต่พื้นฐานนี้ต้องถูกใช้เป็นเครื่องมือในการแก้ไขปัญหาที่เรายังไม่สามารถก้าวข้ามได้ใน 2 เป้าหมายสำคัญ คือ 1.การยุติการระบาดของวัณโรคภายในปี 2030 โดยวัณโรคยังคงเป็นภาระด้านสาธารณสุขที่สำคัญและด้วยเครื่องมือปัจจุบัน เป้าหมายนี้อาจไม่สามารถบรรลุได้ และ 2.การลดการเสียชีวิตและบาดเจ็บจากอุบัติเหตุทางถนนลงครึ่งหนึ่ง ซึ่งอุบัติเหตุทางถนนยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตหลัก โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน
     
นายพัฒนากล่าวต่อว่า ทั้งนี้ เพื่อก้าวข้ามความท้าทาย จึงต้องเปลี่ยนจากการปรับปรุงแบบค่อยเป็นค่อยไป สู่การเร่งรัดเชิงยุทธศาสตร์ โดยนำแนวทาง “SDG Accelerator” ขององค์การอนามัยโลกมาใช้ ซึ่งตั้งอยู่บนสองเสาหลัก ได้แก่ การลงทุนเชิงกลยุทธ์ในการวิจัยและพัฒนา (R&D) และการขยายผล เทคโนโลยีดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในระบบสุขภาพ โดยประเทศไทยกำลังวางรากฐานเพื่อการเปลี่ยนผ่านนี้ ซึ่งเมื่อวันที่ 28 ตุลาคมที่ผ่านมา เราได้บรรลุ “National Digital Health Governance Agreement”ซึ่งเป็นก้าวสำคัญทางเทคนิคและกฎหมายเพื่อให้เกิดการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรม โดยด้านวัณโรค กรอบข้อตกลงนี้จะช่วยสร้างความต่อเนื่องของข้อมูล เพื่อให้สามารถตรวจหาและรักษาได้ครบวงจร โดยเฉพาะในพื้นที่ซับซ้อน เช่น กรุงเทพมหานคร และเปิดทางให้ใช้ระบบ AI แบบโอเพนซอร์สในการอ่านภาพถ่ายรังสีเพื่อค้นหาผู้ป่วยได้เร็วและแม่นยำยิ่งขึ้น ส่วนด้านอุบัติเหตุทางถนน จะเชื่อมโยงข้อมูลจากภาคสาธารณสุข คมนาคม และความมั่นคง เพื่อสร้างแบบจำลอง AI สำหรับคาดการณ์พื้นที่และช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงสูง ช่วยให้สามารถป้องกันอุบัติเหตุก่อนเกิดขึ้น และเพื่อให้วิสัยทัศน์นี้เป็นจริง เราต้องมองว่าเทคโนโลยีสุขภาพคือ “การลงทุนเชิงกลยุทธ์” ไม่ใช่ค่าใช้จ่าย และต้องเร่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางสุขภาพ
      
“สิ่งเหล่านี้ต้องอาศัยความร่วมมือระดับโลก ไม่มีประเทศใดสามารถพัฒนาและนำระบบขั้นสูงเหล่านี้มาใช้ได้เพียงลำพัง เราจึงต้องร่วมกันสนับสนุนการวิจัยแบบเปิด (Open-source R&D) การพัฒนาศักยภาพด้านธรรมาภิบาล AI และการประสานความร่วมมือข้ามภาคส่วน โดยมีบทบาทของ SDC ในการเชื่อมโยงภาคสาธารณสุข การคลัง คมนาคม และเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอย่างบูรณาการ” นายพัฒนากล่าว
                    
                    
                    
                    



