ผู้สื่อข่าว ONB news ได้รับรายงานจาก จนท.ตร.สน.ท่าเรือ ว่า เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 62 เวลาประมาณ 23.00 น. กลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่ง หลังจากเลิกดูการแสดงดนตรีในงานลี้ยงฉลองแชมป์ เอฟ เอ คัพ ของสโมสรการท่าเรือ ที่สนามแพตสเตเดี้ยม แล้วเดินกลับมาตามชอย 8 ตลาดคลองเตย เพื่อจะไปเอารถจักรยานยนต์ขับกลับบ้าน ขณะเดินถึงที่เกิดเหตุเป็นซอยเข้าในตลาดมีกลุ่มผู้ต้องหาที่อยู่ในตลาดมีเรื่องวิวาทกับกลุ่มวัยรุ่นที่อื่น จากนั้นได้มีเสียงคล้ายอาวุธปืนดังขึ้นจำนวนหลายนัด ผู้ตายกับพวกจึงแยกย้ายกันหลบหนี หลังจากนั้นพบ นายเอ (นามสมมุติ) อายุ 17 ปี นักเรียนชั้น ม.5 ชาวจ.สมุทรปราการ ถูกยิงโดยถูกกระสุนปืนเข้าที่บริเวณเบ้าตา เป็นเหตุให้เสียชีวิต 1 ราย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บนายบี (นามสมมุติ) อายุ 17 ปี นักเรียนชั้น ม.5 โรงเรียนเดียวกับผู้เสียชีวิต ถูกกระสุนปืนที่บริเวณชายโครงด้านซ้าย 1 ราย และถูกนำส่งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ส่วนคนร้ายหลังก่อเหตุได้หลบหนีไป โดยขณะนั้นผู้ตายถึงแก่ความตายในที่เกิดเหตุ พนักงานสอบสวนจึงได้ร่วมกับแพทย์นิติเวชและ เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ตรวจที่เกิดเหตุเพื่อรวบรวมพยานหลักฐานมาประกอบคดี

 

อีกทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.ท่าเรือ ได้ไปตรวจที่เกิดเหตุ เพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงและพิสูจน์ทราบตัวคนร้าย ตรวจสอบกล้องวงจรปิด จากร้านค้าบริเวณที่เกิดเหตุ พบมีภาพคนร้าย 2 คน ใช้อาวุธปืนยิงไปในทิศทางที่กลุ่มผู้เสียชีวิตเดินมา จึงได้สืบสวนจนทราบตัวคนร้าย และออกติดตามจับกุมตัว จนสามารถจับคนร้ายได้ ทราบชื่อในเวลาต่อมาคือ นายจตุรงค์ หรือนุ มีโสภา อายุ 34 ปี และนายรันวา หรือหนึ่ง บุญผาด อายุ 31 ปี พร้อมด้วยของกลาง คือ 1. อาวุธปืนพก แบบออโตมติก สีเงิน ขนาด 9มม ยี่ห้อ นอริงโก ไม่มีทะเบียน 2. อาวุธปืนพก แบบรีวอลโวสีเงิน ขนาด .38 ยี่ห้อ สมิธ แอนด์ เวสสัน ไม่มีทะเบียน โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันฆ่าผู้อื่น ,ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น ,ร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาติ พาอาวุธปืน ไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต และไม่มีเหตุอันควร

 

โดยในเบื้องต้น ผู้ต้องหารับว่าเป็นผู้ใช้อาวุธปืนยิงใส่กลุ่มผู้ตายจริง จึงได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาพร้อมด้วยของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน สน.ท่าเรือ ดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

 

รอง โฆษก ตร. กล่าวต่ออีกว่า ขอฝากเตือนไปยังกลุ่มวัยรุ่น ที่มีความคึกคะนองขอให้ใช้สติอย่าใช้อารมณ์ในการแก้ไขปัญหาเพราะเมื่อเกิดเหตุขึ้นแล้วหรือมีการกระทำผิดก็จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมายเสียประวัติเสียอนาคตและอาจนำมาพามาซึ่งความสูญเสียต่อ ชีวิต เงินทอง ทรัพย์สิน ทั้งต่อตัวเอง และผู้อื่นรวมไปถึงประชาชนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวอีกด้วย

 

ทั้งนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้กล่าวชมเชยการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม ที่สามารถติดตามจับกุมผู้ต้องหามาดำเนินคดีตามกฎหมายได้อย่างรวดเร็ว ภายใน 48 ชั่วโมงหลังจากเกิดเหตุ และยังได้กำชับพนักงานสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานในการกระทำความผิดอย่างตรงไปตรงมา ด้วยความรอบคอบ รวดเร็ว เป็นธรรม โดยอาศัยพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์และพยานหลักฐานที่เชื่อมโยงการกระทำความผิดของผู้ต้องหาเป็นสำคัญ และกำชับให้ทุกหน่วย ทุกพื้นที่ให้มีมาตรการในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมในลักษณะนี้ มีมาตรการออกตรวจตรา กวดขันและจับกุม โดยเมื่อเกิดเหตุให้เร่งรัดติดตามจับกุมตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้โดยเร็ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับพี่น้องประชาชน