จากกรณีที่ได้มีการโพสต์ภาพในโลกโซเชียลว่า มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งในพื้นที่ ม.2 บ้านท่างิ้ว ต.กะลาเส อ.สิเกา จ.ตรัง  กำลังนำกระทงมาลอยอยู่กลางถนนของหมู่บ้านในจุดที่มีน้ำขัง ซึ่งมีสภาพเป็นหลุมเป็นบ่อจำนวนมาก จนสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้สัญจรไปมายาวนานหลายปีแล้วนั้น

ผู้สื่อข่าวจึงได้เดินทางไปพบกับ นายสิปกร อ่อนแก้ว อายุ 59 ปี และนางเบญจมาพร กาลเวล อายุ 67 ปี พร้อมกับกลุ่มชาวบ้านในพื้นที่ ม.2 บ้านท่างิ้ว ต.กะลาเส อ.สิเกา จ.ตรัง  ซึ่งออกมารวมตัวกันเพื่อสะท้อนถึงปัญหาถนนในหมู่บ้านที่มีระยะทางกว่า 4.5 กิโลเมตร แต่ได้ชำรุดทรุดโทรมมานานกว่า 10 ปี  ยิ่งช่วงนี้ฝนตกอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ชาวบ้านใช้รถใช้ถนนด้วยความยากลำบาก รวมทั้งการรับส่งนักเรียน คนชรา ผู้ป่วยติดเตียง และการขนส่งยางพารา หรือปาล์มน้ำมัน  ยิ่งตอนนี้เสี่ยงอันตรายมาก เพราะถนนบางจุดถูกกระแสน้ำซัดกัดเซาะ จนชาวบ้านต้องปักไม้แสดงสัญลักษณ์ไว้ตามจุด  ที่ผ่านมาเคยประสานไปยังสำนักงานชลประทานตรัง อบต.กะลาเส และ อบจ.ตรัง  แต่กลับโยนความรับผิดชอบว่า ได้โอนพื้นที่ไปยังหน่วยงานอื่นแล้ว และไม่มีใครรับเป็นเจ้าภาพ

นายสิปกร อ่อนแก้ว อายุ 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 166/4 ม.2 ต.กะลาเส อ.สิเกา จ.ตรัง กล่าวว่า  จากที่ทราบข้อมูลถนนเส้นนี้เป็นของ อบจ.ตรัง ซึ่งได้รับการถ่ายโอนจากกรมชลประทาน  ที่ผ่านมาถนนเส้นนี้เป็นถนนที่อยู่ในสภาพนี้มานาน และไม่เคยมีการพัฒนามาก่อน จนกลายเป็นหลุมเป็นบ่อ  ชาวบ้านเดือดร้อนมาก เพราะต้องใช้ถนนสัญจรไปมาตลอด บางครั้งเมื่อเจอหลุมบ่อทำให้ยางและปาล์มตกหล่นเรี่ยราดเกลื่อนเต็มทาง  ส่วนนักเรียนบางครั้งก็ตกหลุม ทำให้น้ำโคลนกระเด็นใส่ ต้องพาชุดไปเปลี่ยนที่โรงเรียน เพราะระหว่างเดินทางสกปรก  ก่อนหน้ามีการประชุมที่ อบต.กะลาเส ชาวบ้านได้ร้องขอให้ช่วยเรื่องนี้ตลอด จนเวลาผ่านมา 4 ปีแล้วก็ยังไม่ได้  รวมชาวบ้านที่กำลังได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก ประมาณ 200 กว่าคน หรือ 35 ครัวเรือน

ต่อมานายเทียนชัย คงทิพย์ เจ้าหน้าที่ชลประทานฝ่ายการส่งน้ำและบำรุงรักษา โครงการชลประทานขนาดกลางบ้านควนกุน ม.2 ต.กะลาเส อ.สิเกา จ.ตรัง ได้เดินทางมาพบกับกลุ่มชาวบ้าน พร้อมชี้แจงว่า  ถนนสายนี้ กรมชลประทานได้ถ่ายโอนพื้นที่ให้กับ อบจ.ตรัง แล้ว เมื่อราวประมาณปี 2557 เป็นระยะทาง 4.5 กิโลเมตร  และได้ตั้งงบประมาณเพื่อปรับปรุงซ่อมแซมไว้แล้วในปีหน้า พร้อมทั้งช่วยประสานงานติดตามอย่างต่อเนื่องกับทุกฝ่าย  พร้อมรับปากกับชาวบ้านว่า กรมชลประทานจะเข้ามาแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก่อน  ด้วยการปรับถมถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อและมีน้ำขัง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และชาวบ้านจะได้ใช้รถใช้ถนนสะดวก ปลอดภัย

อย่างไรก็ตาม กลุ่มชาวบ้านยังไม่ปักใจเชื่อใจ ตามที่กรมชลประทานได้ส่งตัวแทนมาพูดคุย เพราะที่ผ่านมาเคยโดนหลอกให้คอยเก้อมาหลายครั้งหลายคราวแล้ว  และก่อนหน้านี้ได้มีการนำกระทงมาลอยอยู่กลางถนนในจุดที่มีน้ำขัง มาแล้วติดต่อกันถึง 5 ปี หรือตั้งแต่ปี 2557-2562 เพื่อสะท้อนให้หน่วยงานต่างๆ เล็งเห็นถึงความเดือดร้อน แต่ก็ยังไม่ได้รับการเหลียวแล