แห่แชร์เกือบหมื่น โพสต์หนุ่มยกย่องหัวใจหญิงแกร่งในร่างคุณยาย ชี้ทางสว่างคนชอบคิดสั้น มองชีวิตตัวเองบัดซบ
15 พ.ย. 2562, 10:24
ในโลกสังคมออนไลน์ขณะนี้ ต่างพากันแชร์ส่งต่อเรื่องราวดี ๆ ซึ่งถูกเผยแพร่โดยผู้ใช้งานเฟซบุ๊กชื่อว่า Narith Niyomsuk เล่าถึงการตัดสินใจให้ความช่วยเหลือคุณยายท่านหนึ่ง ที่บังเอิญไปพบยืนอยู่ข้างทางซึ่งเป็นซอยแคบเพียงลำพัง ด้วยความกลัวคุณยายถูกรถเฉี่ยว จึงตัดสินใจเข้าไปสอบถาม และรับขึ้นรถเพื่อพาไปส่งโรงพยาบาลตามความต้องการของคุณยาย แม้ทำให้ตัวเขาต้องเข้างานสายก็ตาม และการตัดสินใจครั้งนี้ ก็ทำให้เขาได้เปิดประสบการณ์ที่น่าทึ่ง เมื่อได้รับรู้เรื่องราวน่ายกย่องในความเป็นหญิงแกร่งของคุณยายอายุ 88 ปี ท่านนี้ โดยบอกว่า ใครอยากตาย? ใครคิดว่าชีวิตบัดซบ? ลองอ่านสเตตัส ต่อไปนี้
วันนี้ไปทำงานสาย เพราะได้ไปส่งคุณยายที่เจอข้างทาง ขอเรียกท่านว่า คุณครูอาวุโส ที่ได้สอนข้าพเจ้า ใครอ่านจบ ตนมั่นใจว่า คุณจะอยากมีชีวิตอยู่ต่อครับ ( ถ่ายภาพท่านไว้ และถอดคลิปเสียงมานะครับ แต่ขออนุญาตคุณยายแล้วครับ )
คุณยาย อายุ 88 ปี ยืนหลังคร่อมมาก เป็นรูปตัว C อยู่ข้างถนนซอยเอกมัย 12 เวลา 9.00 เนื้อตัวไม่ถือว่าซอมซ่อ มีไม้เท้า 1 อัน ถุงพลาสติกยับยู่ยี่ ท่านยืนพิงสังกะสีริมถนนในซอย ที่ไม่มีทางเท้าให้มนุษย์เดิน ด้วยหลังที่งอเป็นรูปตัว C ของท่าน ทำให้ท่านยืนหน้ายื่นเข้ามาในถนน ถ้าใครขับรถคันใหญ่หน่อย ก็สามารถเฉี่ยวร่างบางเบานี้ลากไปตามถนนได้แน่
ตนขับผ่านท่านไป แล้วความไม่สบายใจก็เกิดขึ้นอย่างมหาศาลในหัวใจ ตนกำลังขับทะลุไปทองหล่อ ทบทวนในใจ ว่าถนนในกรุงเทพฯไม่ปราณีใคร และคนกรุงเทพฯไม่สามารถมีน้ำใจได้เพราะต้องไปหาเงินกันก่อน หรือคุณยายจะรอใครออกมารับจากในบ้าน ก็เป็นไปได้ แต่บ้าน่า ถ้ารถจะออกจากรั้วบ้าน ก็เอาแกใส่รถมาซะก็จบเรื่อง เมื่อตนคิดได้ ก็วกรถกลับทันที ต้องไปคุยให้รู้เรื่องให้ได้ ว่าท่านมาทำอะไรข้างถนนที่จอแจนี้
ตนเทียบรถเข้าไป “ ยายจ๋า ไปไหนจ๊ะ ? ” ยายตอบอย่างฉะฉาน ว่า “ ฉันจะไปโรงพยาบาลกลาง ” ok ! ท่านป่วย เพราะใส่ผ้ากันปาก ที่แขนมีรอยเจาะเลือดประมาณ 10 จุด และที่หลัง ใส่ชุดดามหลังตัว C ที่แสนน่ากลัวนั้น ตนคิดทบทวน เอายังไงดี? เราก็จะไปหาหมอที่สมิติเวช แล้วก็ทำงาน แต่ก็คิดใหม่ วันนี้ตูต้องไปส่งยาย ยายมี special things ที่ทำให้เราต้องบริการยายให้ได้ แล้วยายก็เป็นคนที่อายุเยอะที่สุดที่นั่งรถเรา
ต่อไปนี้คือบทสัมภาษณ์สุด exclusive ที่ไม่มีใครคิดว่าคนอายุเกือบ 100 ปี จะเล่าทุกอย่างอย่างพรั่งพรู คุณยายแปลกหน้า vs มาร์แชล มาดูกันว่า เราได้เจอคุณครูอาวุโสท่านนี้ ท่านให้อะไรเรา
เริ่มกันที่อาการป่วย ... ยายบอกว่า ยายเป็นโรค “ กระดูกพรุน ” พร้อมประโยคเด็ดที่ว่า ทุกคนเขาสูงขึ้น แต่ฉันเตี้ยลงทุกวัน วันฉันไม่มีแรง และก็ล้มลื่น แขนฟาดพื้น ดีนะ ที่หัวไม่ฟาด ไม่อย่างนั้นฉันตายแน่นอน
จึงบอกยายว่า “ ยายเก่งจังเลย ไปหาหมอได้คนเดียว แข็งแรงกว่าที่คิด แล้วก็พูดรู้เรื่องมากๆ ” ยายยิ้ม และตอบอย่างหนักแน่นว่า “ ฉันถูกสอนให้พึ่งพาตนเองตั้งแต่สาว ๆ ทำอะไรก็ต้องทำเองทั้งหมด เวลาพึ่งพาคนอื่นฉันเกรงใจ ละอายใจ เจ้าหนูส่งฉันที่เอกมัยก็พอ ” ผมนี่ ปฏิเสธเสียงแข็ง ไม่ได้ยาย ขอให้ผมได้ไปส่งยายเถิด คุณยายแท้ ๆ ของผมก็เสียชีวิตไปแล้ว ยายอย่าได้กังวลนะ ( อยากรู้ใช่ไหม ? ผัว ลูก หลาน ญาติ หายไปไหน ??? .. ข้อ ต่อไปเลยครับ )
“ ยายจ๋า แล้วลูก ๆ ไปไหนกัน ? “ ถามด้วยความอยากรู้ขั้นสุดแบบไม่ปิดบังความอยากนั้น ยายตอบด้วยเสียงเรียบเฉยว่า “ ฉันมีลูก 3 คน อยู่ อเมริกาหมดเลย คนโต 64 , 62 และ 59 ( ยายทำท่านับนิ้วเล็ก ๆ ก่อนตอบอายุลูก )” แล้วก็พูดต่อทันที เสมือนจะรู้ว่า ตนคงจะด่าลูกเขาว่าไม่ดูแลแม่บังเกิดเกล้า ยายพูดว่า “ ลูกฉันดีทุกคน มาเยี่ยมฉันปีละ 4 ครั้ง แต่พยายามชวนฉันไปอยู่อเมริกา แต่ฉันดื้อเอง ฉันไม่ไป ” ผมนี่ น้ำตาคลอเบ้า ยายคือ ต้นกำเนิดรถ Ford เหรอ เพราะเกิดมาแกร่งอะไรขนาดนี้ หรือว่ายายเคยเป็นเพชรมาก่อน ถึงได้ใจแข็งนัก ตนเลยปิดท้ายเรื่องลูก ๆ ยายไปว่า “ ยายจ๋า ถ้าลูกกลับมาช่วงปลายปี แล้วมารับยายไปอเมริกา ยายต้องไปแล้วนะ เพราะถ้ายายไม่ไป ลูกยายจะไม่ได้ดูแล ไม่ได้นวดขา ไม่ได้ทำข้าวให้ทาน ยายต้องให้เขามีโอกาสตอบแทนเรา ยายเหนื่อยมามาก ลูกไม่มีบ่นหรอกครับ แต่ในทางกลับกัน ถ้ายายไม่ไป คนในสังคมเขาจะคิดว่าลูกยายไม่ดี เป็นตราบาปแก่ลูกไปอีก ” ยายถามมาสั้น ๆ ว่า ต้องไปใช่ไหม ? ( อยากรู้เรื่องแฟนยาย ? จะบอกให้ โคตรดี !!!! )
“ โทษครับยาย คุณตายังอยู่ไหม ??? ” ( ตนคำนวนเอง ว่ายังไงก็สิ้นไปแล้วแน่ ๆ ) และยายตอบว่า “ เขาตายไปเมื่อ 4 ปีที่แล้ว เป็น alzheimer โรคความจำเสื่อม ฉันป้อนข้าวป้อนน้ำเขามาตลอด แล้วจู่ ๆ ก็หลับไป “ตนได้โอกาสก็เลยถามเรื่องกระชุ่มกระชวยหัวใจบ้าง ยายครับ “ คุณตาเขาดีไหม ? นอกใจไหม ? มีเมียน้อยไหม ? ” ... ยายตอบทันควัน ปกป้องวิญญาณคุณตาอย่างภาคภูมิว่า “ ฉันได้สามีที่เป็นคนดีมาก ดีที่สุด เราไม่เคยทะเลาะกันเลยซักวันเดียว ไม่มีการงอน เพราะเราทำงานกันทุกวัน ไม่มีเวลามาคิดเรื่องอื่น ตอนแรก ฉันไม่ได้จะเอาเขา เพราะฉันไม่รู้จักเขา มีหนุ่มมารุมจีบฉัน 10 กว่าคน แต่เขามาเข้าทางคุณป้า ไม่รู้คุยกันอีท่าไหน ก็นัดวันยกขันหมากมากดดันที่บ้าน จนพ่อต้องยกฉันให้ เขารักฉันมาก พาฉันไปเที่ยว พาไปดูหนัง เราชอบดูหนังที่ลิโด้สยามมาก ฉันดูทุกเรื่อง แต่ก็ไม่เคยไปไหนได้ไกล เพราะต้องทำงาน เขาชอบสอนให้ฉันเก็บเงิน ฉันก็ตาม ๆ เขา เราก็เลยไม่ขัดกัน มีช่วงนึงก็มีผู้หญิงหลายคนมาแย่ง แต่เขาไม่สนใจ ” ตนฟังแล้ว ไม่อยากจะเชื่อว่า “ รักแท้นั้นมีอยู่จริง ”
ก็เลยถามต่อไปว่า “ ยายคือสาวกรุงเทพยุคแรกเลยใช่ไหมครับ ? ” ยายตอบอย่างมั่นใจว่า “ ไม่ใช่เลย ฉันเป็นคนสุรินทร์ ส่วนตาเป็นคนจีน มาทางเรือ แล้วก็ทำงานที่กรุงเทพฯ แต่มาเจอฉันตอนมาส่งของที่สุรินทร์ พอเจอฉัน เขาชอบฉัน ก็เลยต้องเทียวมา เทียวไปกรุงเทพฯ-สุรินทร์ ส่วนฉันก็เฉย ๆ ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่มีวันนึง ฉันต้องใจอ่อน เพราะรู้เรื่องว่า เขามาทางม้า ควบม้ามาจากรุงเทพฯ แล้ว ม้าเขาตายกลางทาง เขาร้องไห้เสียใจ วันนั้นฉันเลยเข้าใจว่า เขาเต็มที่มาก ๆ ” โห !!! นี่ตูดูหนัง Hollywood เหรอวะ !!! นึกมาตลอดว่ามาสุรินทร์โดยรถ แม่ง “ ขี่ม้ามา !!!! ” แล้วยายก็บอกว่า หลังจากยอมแต่งงาน ก็ไม่กล้าขี่ม้าอีก จึงตัดสินใจซื้อรถเฟี๊ยต
เรามีคุยกันเรื่องอื่น ๆ ทางประวัติศาสตร์ด้วย นั่นคือเรื่องสงคราม ยายบอกว่า หลบระเบิดน่ากลัวสุด ๆ ต้องลงหลุม หุบปาก ตัวสั่น กลัวตาย แล้วก็เล่าถึงธุรกิจของญาติตัวเอง ที่ทำสวนทุเรียนในเขตบางกอก อันนี้ ตกใจสุด เพราะว่าตามพงศาวดารที่ฝรั่งเศษ เขียนเอาไว้ ก็เคยเล่าว่ากรุงเทพฯนี่ส่งออกทุเรียน แล้วมีสวนทุเรียนมาก เคยอ่านเจอ ยังนึกไม่ออกว่ามีทุเรียนได้อย่างไร ? แต่พอยายเล่า ตนรู้สึก เชื่อในสิ่งที่คนโบราณเขียนเอาไว้ มันมีมูล มีที่มาที่ไป ... ยายเล่าตลกมาก ว่าวันที่ต้องเลิกทำสวนทุเรียน ก็เพราะทหารเข้ามาขโมยทุเรียน แล้วทุเรียนตกใส่หัว !! เลือดอาบเลย ก็เลยโดนโค่นต้นทุเรียนทิ้ง ... ลืมถามว่าทหารชื่ออะไร !??
ถามต่อ ว่า “ ยายพอใจกับชีวิตตนเองไหม ? อยู่ดูโลกมานานตั้ง 88 ปี ” ยายตอบว่า “ อยากอยู่ไปนาน ๆ เพราะ อยู่นาน ๆ ก็ได้เห็นอะไรใหม่ ๆ สมัยก่อนนะ จะขึ้นมาดูอะไรสูง ๆ จะต้องขึ้นที่ ลานเก้า !! ( อันนี้ไม่รู้จัก ) เห็นทั้งหมดเลย แต่เดี๋ยวนี้ ตึกสูงมาก ๆ ให้ฉันอยู่ ฉันไม่กล้าอยู่ กลัวมันถล่ม ” ดูคำตอบยายซิครับ !! ยายคิดบวกสุด ๆ ก็ถามยายว่า แล้วยายทำอย่างไรให้อารมณ์ดี ให้ไม่ปวดหัว ยายบอกว่า “ ปวดหัวคืออะไรไม่รู้จัก ฉันไม่คิดมาก คนอื่นเขาปวดหัวกัน ฉันไม่เคยปวดหัว มีแต่โรคกระดูกพรุนนี่แหละ ที่ทำให้ฉันเหมือนคนพิการ เดินเหินลำบาก ” ตนยกมือ นิ้วโป้งให้ยาย บอกว่า ยายเก่งมาก ๆ ๆ ๆ ๆ
เท่าที่คุย ยายมีความรู้ และมีฐานะพอสมควรครับ ลูกหลานไม่ได้ทิ้ง !! แต่ยายคือ independent women ของจริง นี่คือหญิงแกร่งที่ตนพบเจอ ระหว่างคุย ตนกลัวยายอ้วกใส่รถ เพราะเห็นไอ ๆ 2 - 3 ครั้ง ก็เลยถามว่า ยายนั่งสบายไหม ? คลื่นไส้ไหมครับ ? ยายตอบว่า “ ไม่มีอะไรให้คลื่นไส้ เพราะไม่ได้ทานอะไรเลย เมื่อวานหิวข้าว แต่ออกมาหน้าบ้าน ไม่มีรถผ่านซักคัน ก็เลยนอนหลับไป ไม่ได้ทานอะไร !! ” เห้อ ! ยายเอ๋ย อย่าทำอย่างนี้นะ ไปอยู่กับลูกซะ
ส่วนเรื่องนี้ ใครรักในหลวงคงอิ่มเอิบใจ ตนพยายามถามถึงในหลวง ร.8 เพราะอยากรู้ แต่ยายไม่ได้ตอบอะไร ( การข่าวสมัยก่อนไม่ได้เหมือนสมัยนี้ ) ก็เลยเปลี่ยนมาถามเรื่องในหลวงร.9 ว่ายายก็อยู่สมัยในหลวงรัชกาลที่ 9 ยายเคยเจอท่านไหม ? ยายตอบว่า ทุกวันเกิดในหลวง ก็จะไปรับเสด็จกับคุณตา ไปกันทุกปี อยากไปแอบดูในหลวง นี่คือ คนยุคก่อน ที่ผูกพันกับสถาบันแบบถวายให้ทั้งตัว และหัวใจ
ตนขอกราบพระ แล้วส่งพรให้ยาย อายุยืนยาว และให้ยายอย่าได้ประสบภัยร้าย เพราะยายเล่าเรื่องโจรขึ้นบ้าน 2 รอบ เรื่องความลำบากในการเดินทาง แต่ทุกเรื่อง ยายจะจบด้วยคำว่า “ฉันชอบทำอะไรด้วยตนเอง ไม่ชอบพึ่งพาคนอื่น ฉันสู้ด้วยตนเองมาทั้งชีวิต ” ยาย คือ ครูของผมครับ ผมก็ทำอะไรเอง ร้องขอคนช่วยเหลือน้อย แต่หลายครั้งก็มีใจอ่อน หมดแรง อยากพึ่งพาบ้าง แต่พอเห็นยายแล้ว เรามัน “ กระจอก !!! ” ยายคือที่สุด
พอส่งยายที่โรงพยาบาลกลาง ยายยกมือไหว้พระ แล้วอวยพรตน ตนเลยถามยายว่า “ ยายดีใจไหมที่เจอผม ? ” ยายตอบว่า “ เหมือนถูกหวยรางวัลที่ 1 ขอให้หนูเจริญในหน้าที่การงานนะ ” แล้วรถก็ปิด ตนขับรถมาทำงาน และร้องไห้ตลอดทาง ...