26 พ.ย. 62 ผู้สื่อข่าว ONB news รายงานว่า ที่บริเวณแปลงยางพาราของ นางปณิตา จินตโภคิน อายุ 62 ปี เกษตรกรชาวสวนยางพารา หมู่ที่ 7 ตำบลนาชุมเห็ด อำเภอย่านตาขาว จังหวัดตรัง ซึ่งกำลังประสบปัญหาโรคยางพาราใบร่วงสายพันธุ์ใหม่นั้น ทีมนักวิชาการจากสำนักงานการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) ได้ผนึกกำลังกันลงพื้นที่เร่งแก้ปัญหา นำโดย นายสุขทัศน์ ต่างวิริยกุล ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร และ นายกฤษดา สังข์สิงห์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยยาง พร้อมกับการเปิดศูนย์ถ่ายทอดเทคโนโลยีเคลื่อนที่ เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับโรคยางพาราใบร่วงสายพันธุ์ใหม่ รวมทั้งสาธิตวิธีการใช้สารเคมี และการฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อ ทั้งด้วยวิธีการพ่นด้วยเครื่องทั่วไป และด้วยวิธีการบินโดรน ซึ่ง กยท.ให้ความมั่นใจว่า จะไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมตามมา

ทั้งนี้ ได้มีเกษตรกรชาวสวนยางพาราในพื้นที่จังหวัดตรัง ที่กำลังประสบปัญหา รวมทั้งตัวแทนเจ้าหน้าที่ กยท. จาก 6 จังหวัดภาคใต้ตอนกลาง และเจ้าหน้าที่ในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ มารับการถ่ายทอดความรู้ เนื่องจากโรคยางพาราใบร่วงสายพันธุ์ใหม่ กำลังระบาดในพื้นที่ 4 จังหวัดภาคใต้ตอนล่างและตอนกลาง แถมยังขยายวงกว้างเรื่อยๆ จนยิ่งซ้ำเติมปัญหาให้กับชาวสวนยางพาราที่ประสบปัญหาราคาตกต่ำอยู่แล้วเป็นอย่างมาก และที่น่าตกใจก็คือ เชื้อโรคดังกล่าวยังสามารถติดได้กับทุกพืชผักผลไม้ ไม้ดอก ไม้ประดับ ซึ่งไม่เฉพาะในยางพาราเท่านั้น จึงเป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายที่ควรเร่งกันศึกษาและร่วมกันแก้ไขโดยเร็วที่สุด

โดยเฉพาะจังหวัดตรัง พบว่า โรคยางพาราใบร่วงสายพันธุ์ใหม่ได้ขยายพื้นที่ลุกลามไปเรื่อยๆ และอยู่ในระยะฟักตัวรวมแล้วนับหมื่นไร่ แต่เจ้าหน้าที่กำลังประสบปัญหายากต่อการควบคุมกำจัด เนื่องจากเป็นเชื้อใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประเทศไทย พร้อมสั่งให้ กยท. ทุกพื้นที่ประสานความร่วมมือกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน และทางอำเภอ เพื่อเร่งประชาสัมพันธ์และสำรวจพื้นที่ เพราะหากสวนแปลงใดได้รับเชื้อ จะทำให้ใบยางร่วง และน้ำยางหดหายไปประมาณ 50-60% จนต้องหยุดกรีด และเชื่อว่าหากยังกำจัดเชื้อไม่ได้ผล จะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจโดยรวมในภาคใต้ และชาวสวนยางพาราอย่างมหาศาล

นายกฤษดา สังข์สิงห์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยยาง กล่าวว่า ขณะนี้พบการระบาดของโรคยางพาราใบร่วงสายพันธุ์ใหม่แล้ว 4 จังหวัด ประกอบด้วย นราธิวาส ยะลา พังงา และตรัง เนื้อที่รวมประมาณ 400,000 ไร่ ทั้งนี้ กยท. ได้มีการกำหนดมาตรการต่างๆ ออกมา ทั้งมาตรการเร่งด่วน ระยะกลาง ระยะยาว แต่ขณะนี้ต้องใช้มาตรการเร่งด่วนในการกำจัดเชื้อและควบคุมพื้นที่ให้เร็วที่สุด ด้วยการให้ความรู้เจ้าหน้าที่ กยท. สถาบันเกษตรกร และเกษตรกร ถึงวิธีการสังเกตโรค และเทคนิคการใช้สารเคมี พร้อมสาธิตวิธีการกำจัดโรคโดยการใช้โดรนฉีดพ่นสารเคมี ซึ่งผ่านการพิจารณาแล้วว่าไม่ส่งผลเสียต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม