3 วันอันตราย เทศกาลปีใหม่ ยอดตายพุ่งแล้ว 159 ราย
30 ธ.ค. 2562, 14:27
ย พล.ต.ท. ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) ในฐานะประธานแถลงข่าวสรุปผลดำเนินงานป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนในช่วงเทศกาลปีใหม่ในการรณรงค์ “ขับรถมีน้ำใจ รักษาวินัยจราจร” ว่า วันที่ 29 ธ.ค.มีการเกิดอุบัติเหตุ 531 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 47 ราย ผู้บาดเจ็บรวม 560 คน สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เมาแล้วขับ ร้อยละ 31.81 รองลงมาคือขับรถด้วยความเร็วร้อยละ 30.89 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุดคือ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 80.55
ซึ่งจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุดคือจังหวัดเชียงใหม่และนครปฐม จังหวัดละ 25 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด คือจังหวัดกรุงเทพมหานคร 5 ราย จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุดคือจังหวัดนครปฐม 31 คน
โดยสรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสมในช่วง 3 วันของการรณรงค์ (27-29 ธ.ค.) เกิดอุบัติเหตุรวม 1,504 ครั้ง ผู้เสียชีวิตรวม 159 ราย ผู้บาดเจ็บรวม1,549 คน
ส่วนจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุดคือจังหวัดลำปาง 48 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุดคือจังหวัดกรุงเทพมหานคร จังหวัดละ 10 ราย จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุดคือจังหวัดนครปฐม 56 คน และจังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิตเลย มีทั้งหมด 21 จังหวัด
นอกจากนี้ ได้จัดชุดสายตรวจดูแลความปลอดภัยเส้นทางโดยรอบสถานที่จัดงานรื่นเริง และสถานบันเทิง ในช่วงเวลา 23.00 – 02.00 น. เป็นพิเศษ เน้นกวดขันผู้ขับขี่ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงดื่มแล้วขับ โดยเฉพาะกลุ่มเด็กและเยาวชนที่มีอายุไม่ถึง 20 ปี หากเกิดอุบัติเหตุจากการดื่มแล้วขับ ให้ดำเนินคดีและขยายผลการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ปกครองและผู้จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างจริงจัง
ทั้งนี้ พล.ต.ท.ดำรงศักดิ์ กล่าวว่า ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) ได้สั่งการจังหวัดต่างๆดำเนินการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนอย่างเข้มข้น พร้อมกำชับเจ้าหน้าที่ประจำจุดตรวจดูแลเส้นทางสายหลัก – สายรองอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเวลา 16.01 – 20.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่มีสถิติอุบัติเหตุสูงที่สุด เน้นการปรับแผนการจัดตั้งจุดตรวจ ด่านตรวจให้สอดคล้องกับสถานการณ์อุบัติเหตุ ควบคู่กับการใช้กลไกระดับพื้นที่ อาทิ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ตำรวจ จิตอาสาพระราชทาน และอาสาสมัคร บูรณาการจัดตั้งด่านชุมชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อป้องปรามผู้ที่มีพฤติกรรมเสี่ยงอุบัติเหตุกรณีไม่สามารถป้องปรามได้ได้ให้ประสานชุดเคลื่อนที่เร็วในพื้นที่เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป