วันที่ 5 มกราคม 2563 ผู้สื่อข่าว ONB news รายงานว่า ศูนย์ 191 เมืองสระบุรี ได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่า พบระเบิดใส่กระเป๋าพลาสติกสีฟ้า วางอยู่ข้างถังขยะ ที่ ถ.เทศบาล4  ต.ปากเพรียว อ.เมือง  จ.สระบุรี   จึงแจ้งไปยัง พ.ต.อ.พิษณุ วิทยาภรณ์  ผกก.สภ.เมืองสระบุรี พร้อมด้วย  ร.ต.อ.ขวัญชัย พันละบาล พนักงานสอบสวน สภ.เมืองสระบุรี และเจ้าหน้าที่กู้ภัยสว่าง  ไปตรวจที่เกิดเหตุ 
พบ ชาวบ้านที่กำลังมุงดูห่างๆจำนวนหนึ่งต่างวิพากวิจารณ์ และหวาดระแวงกลัวว่าลูกระเบิดจะระเบิดในบริเวณนั้น  ในที่เกิดเหตุพบ ลูกระเบิดใส่กระเป๋าพลาสติก สีฟ้าไม่ได้รูดซิป วางอยู่หลังถังขยะที่เรียงไว้ จำนวน  7 ใบ  เจ้าหน้าที่กู้ภัยจึงได้กลั้นพื้นที่ เพื่อไม่ให้ประชาชนเข้ามาบริเวณดังกล่าว และได้ให้การบริการจราจรที่มีรถวิ่งสวนไป-มา ภายในบริเวณนั้น  และจึงรีบแจ้งไปยังหน่วยงาน EOD ให้มาตรวจสอบลูกระเบิดดังกล่าว 
จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ EOD ทราบว่า เป็นลูกระเบิด  ล.ย.ค. ลูกยิงจากเครื่องยิงลูกระเบิด ขนาด 81 มิลลิเมตร  ใช้ยิงแบบปืนคอ  จึงได้กู้ลูกระเบิดดังกล่าว ซึ่งเป็นลูกใหม่พร้อมทำงานได้ตลอดว่า  จึงได้นำไปทำลายที่บริเวณห่างจากบ้านเรือนประชาชนต่อไป 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

จากการสอบถาม นาย สายชล จั่วกลาง อายุ 38 ปี คนเก็บของเก่า ที่เป็นคนพบลูกระเบิด  เล่าว่า  ตนเองเป็นคนเก็บของเก่า  จะมาหาของที่ถังขยะที่เรียงกันไว้เป็นแถว  และมาเจอสิ่งที่คล้ายๆลูกระเบิดที่ล่วงมาจากเครื่องบิน เห็นวางอยู่ในถุงพลาสติกสีฟ้า  ซึ่งมีถุงอื่นๆทับอยู่ ตนจึงได้หยิบถุงที่ทับอยู่ออก  และได้พบถุงพลาสติกสีฟ้า ตนจึงยกถุงขึ้นมาดู ก็รู้สึกว่ามันหนักๆ ตอนแรกนึกว่าเป็นเหล็ก เลยเอามือไปลูบๆคลำๆดู  ตนเองตกใจเห็นเป็นลูกระเบิด จึงวางเอาไว้  แล้วรีบวิ่งไปบอก คนชื่อ บ่าว ที่ทำงานเป็นกู้ภัยสว่าง แต่ไม่เจอเลยให้ภรรยาเขาโทรศัพท์ไปแจ้งตำรวจให้ 

ด้าน พ.ต.อ.พิษณุ  วิทยาภรณ์ ผกก.สภ.เมืองสระบุรี  ได้เปิดเผยว่า ลูกระเบิดดังกล่าว น่าจะมีคนแอบใส่ถุงนำมาทิ้ง เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการกวดขันกวาดล้างของผิดกฎหมาย  เช่น ยาเสพติด (ยาบ้า) และอาวุธปืนเถื่อน ที่ไม่มีใบอนุญาติ และอื่นๆ คาดว่าคนที่เก็บระเบิดไว้ น่าจะกลัวเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตรวจและเกิดกลัวความผิด จึงได้นำลูกระเบิดมาทิ้งไว้ที่ถังขยะดังกล่าว แต่ยังไงก็แล้วแต่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้ตรวจกล้องวงจรปิดในบริเวณที่เกิดเหตุว่า ใครเป็นผู้ที่นำมาทิ้ง ถ้ารู้ตัวแล้วจะนำตัวมาสอบสวนและจะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป