คนป่าเขตทุ่งใหญ่นเรศวรฯ บ้านสะเนพ่อง นำกาแฟที่มีอยู่ในสวนหลังบ้านมาผลิตเพื่อไว้บริโภคเอง
6 ม.ค. 2563, 16:32
วันนี้ 05 ม.ค. 2563 ผู้สื่อข่าว ONB news รายงานว่า นอกจากการดื่มกาแฟรสชาติดีของคนบ้านสะเนพ่อง แล้วเรายังได้มีโอกาสตาม คุณนุชจรีย์ เข้าไปดูผลกาแฟ ที่กำลังสุกสีแดงสด ในสวนหลังบ้านของเธอ ซึ่งนอกจากกาแฟแล้วในสวนแห่งนี้ที่มีพื้นที่กว่า 7 ไร่ เธอยังปลูกผลไม้ต่างๆ อาทิ ส้มโอ ทุเรียน เงาะ มังคุด มะพร้าว รวมทั้งหมาก ซึ่งเป็นพืชชั้นบนสุด โดยในสวนมีกาแฟพันธุ์โรบัสต้า ที่ปลูกแทรกเข้าไประหว่างต้นผลไม้ต่างๆ เนื่องจากกาแฟ เป็นพืชที่ต้องอาศัยร่มเงาจากไม้ใหญ่ บนต้นผลไม้ นุชจรีย์ ยังปลูกต้นพริกไท ซึ่งสามารถเก็บจำหน่ายได้ตลอดทั้งปี ส่วนพืชชั้นล่างสุดเธอเลือกปลูกสัปปะรด และพืชสวนครัว อาทิ ขิงค่า ตะไคร้ รวมทั้งขมิ้น ไว้ใช้ประกอบอาหาร ไม่ต้องซื้อหาจากตลาด
เมื่อเราถามถึงที่มาของกาแฟโรบัสต้าของบ้านสะเนพ่อง นุชจรีย์ เล่าให้เราฟังว่า เคยถามคุณพ่อ ซึ่งเป็นอดีตผู้ใหญ่บ้านและอดีตกำนัน ตำบลไล่โว่ เล่าให้ฟังว่า เมื่อ 30 ปี ก่อนมีอดีตนายอำเภอสังขละบุรี และหน่วยงานเกษตรบนพื้นที่สูง ได้นำพันธุ์กาแฟ โรบัสต้ามาให้ชาวบ้านปลูกในสวน เนื่องจากเห็นว่าที่นี่มีสภาพดี น้ำและอากาศที่เหมาะกับกาแฟโรบัสต้า ชาวบ้านจึงปลูกเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้...........มีเสียง.....................กาแฟเป็นพืชที่ปลูกและดูแลง่าย ไม่ยุ่งยาก ไม่ต้องคอยรดน้ำ หรือใส่ปุ๋ย ไม่มีศัตรูพืช เนื่องจากที่นี่มีความชื้นสูง มีดินที่อุดมสมบูรณ์ ฝนตกต้องตามฤดูกาล เพียงคอยกำจัดวัชพืชและตัดแต่งกิ่งภายหลังการเก็บผลผลิต ใช้เวลา 3-4 ปีก็เริ่มให้ผลผลิต ปัจจุบันชาวบ้านเริ่มนิยมปลูกเพิ่มขึ้น เนื่องจากกาแฟโรบัสต้าของที่นี่เริ่มเป็นที่รู้จัก จึงขายได้ราคาปีจากอดีตที่เคยขายได้ราคาปิ๊ปละ100-120บาท ปัจจุบันมีพ่อค้าเข้ามารับซื้อถึงในหมู่บ้านโดยให้ราคาปิ๊ปละ200 บาท....................มีเสียง.........................
นอกจากการขายผลกาแฟแล้ว ทุกส่วนของกาแฟสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ ยกตัวอย่างเช่น กิ่งกาแฟที่ตัดแต่งทิ้ง สามารถนำมาเผาเป็นถ่านไว้ใช้ในครัวเรือน ใบกาแฟสามารถนำมาเป็นผักสดกินกับลาบและจิ้มพริกได้ ส่วนดอกกาแฟและเปลือกสามารถนำมาแปรรูปเป็นชาไว้ดื่มหรือจำหน่ายได้อีกด้วย
กาแฟเป็นพืชที่เวลาออกลูกเป็นพวงตามก้านที่มีความยาว70-100 ซม. โดยกาแฟที่บ้านสะเนพ่องจะเริ่มออกดอกในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนแล้วจะเริ่มสุกและเก็บได้ในช่วงกลางเดือน ธันวาคมจนถึงช่วงเดือน กุมภาพันธ์ โดยผลกาแฟจะสุกไม่พร้อม จึงต้องทยอยเก็บ โดยจะเลือกเก็บเฉพาะผลสุกที่มีสีส้มแก่-สีแดงจัด ซึ่งการเก็บในช่วงนี้จะทำให้ได้กาแฟคุณภาพดี
หลังจากเก็บผลกาแฟจากต้นแล้วก็จะนำมาคัดเม็ดที่ไม่ดีออก โดยการนำมาแช่ในน้ำ หากกาแฟเม็ดไหนลอยเหนือผิวน้ำให้ทำการคัดแยกออกมา ไว้ต่างหากเนื่องจากเป็นกาแฟที่ไม่สมบูรณ์ (มีเม็ดลีบ) ส่วนกาแฟที่ผ่านการคัดแล้วจะนำไปตากแดดในพื้นที่ที่เตรียมไว้ โดยใช้เวลาตากแดดกว่า 2 อาทิตย์ โดยจะต้องมีการเกลี่ยเมล็ดกาแฟในทุกวันเพื่อให้โดนแดดอย่างทั่วถึง และต้องทำการคลุมไม่ให้เมล็ดการแฟ โดนน้ำค้างในช่วงกลางคืน ซึ่งจะส่งผลต่อคุณภาพของการแฟ ที่ได้เมื่อครบ 2 อาทิตย์ จะได้กาแฟที่แห้งจึงค่อยนำไปทำการสีเปลือกออก หรือนำไปตำในครกกระเดื่องเพื่อเอาเปลือกออก ก็จะได้สารกาแฟ ก่อนจะเก็บใส่ขวดโหล หรือภาชนะที่มีฝาปิด ทำการเก็บรักษา เพื่อนำมาคั่วไว้บริโภคหรือจำหน่ายต่อไป
ในอดีตชาวบ้านที่นี่จะขายผลกาแฟที่ผลิตได้ให้พ่อค้าคนกลาง ไม่นิยมนำมาทำเป็นกาแฟไว้บริโภคเอง เนื่องจากขั้นตอนที่ยุ่งยาก โดยนิยมซื้อกาแฟสำเร็จรูปที่มีจำหน่ายในท้องตลาดมาดื่มเนื่องจากสะดวกสบายกว่า จึงทำให้เพิ่มค่าใช้จ่ายในครัวเรือน.......มีเสียง.....................
คุณนุชจรีย์ จึงเริ่มหาความรู้ขั้นตอนต่างๆในการแปรรูปเมล็ดกาแฟที่มี เพื่อไว้ดื่มเอง จนมาวันนี้เธอสามารถนำกาแฟโรบัสต้า ที่ปลูกในสวน มาทำเป็นกาแฟสดรสชาติดีไว้ดื่มเอง แล้วค่อยๆชักชวนเพื่อนบ้านมาเรียนรู้ร่วมกันกับเธอและชักชวนกันกลับมาดื่มกาแฟที่ทุกคนปลูกเอง จนถึงวันนี้ได้รับความสนใจจากเพื่อนบ้านมากขึ้นทุกวัน โดยขั้นตอนการทำกาแฟดื่มเองไม่ได้ยุ่งยาก เริ่มจากการนำสารกาแฟที่ได้ มาคั่วในกระทะ โดยใช้ไฟปานกลาง หากต้องการการแฟรสชาติเข้มข้น (คั่วเข้ม) ก็จะต้องใช้เวลาในการคั่วประมาณ 35-40 นาที ก็จะทำให้ได้กาแฟที่มีกลิ่นหอมติดกลิ่นไหม้นิดๆ รสชาติเข้มข้น ส่วนการคั่วเพื่อให้ได้กาแฟระดับกลางและอ่อน ก็จะใช้เวลาคั่วน้อยลดหลั่นกันไป
หลังจากได้กาแฟที่คั่วแล้วก็จะนำมาบดด้วยเครื่องบดที่มีวางจำหน่ายในท้องตลาด หรือจะนำไปตำในครก ก็สามารถทำได้ เมื่อได้กาแฟที่บดมาแล้ว จึงค่อยนำมาชงด้วยน้ำร้อนที่เดือด ก็จะทำให้ได้กาแฟรสชาติเยี่ยมมาดื่ม กันในหมู่เพื่อนฝูงหรือดื่มในครอบครัว การทำการไว้ดื่มเองช่วยลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน จากอดีตที่เคยต้องซื้อกาแฟสำเร็จรูปมาดื่มทำให้วันนี้ นุชจรีย์ สามารถประหยัดรายจ่ายในส่วนนี้ไปได้เดือนละหลายร้อยบาท ที่สำคัญการแฟ ที่เธอทำเองเป็นกาแฟที่ปลอดภัย เนื่องจากทุกขั้นตอนตั้งแต่การปลูกจนกลายมาเป็นกาแฟที่อยู่ในแก้ว ไม่มีสิ่งแปลกปลอมหรือมีสารเคมีเป็นส่วนผสม ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพของผู้บริโภคอย่างแท้จริง.....มีเสียง........
วันนี้เริ่มชาวบ้านสะเนพ่อง เริ่มหันมาบริโภคกาแฟที่ปลูกเอง ในชุมชน แม้จะยังครบทุกครัวเรือน แต่อนาคตไม่นาน ทุกคนจะหันกลับมาบริโภค กาแฟที่ปลูกเองด้วย2มือ เพื่อสุขภาพที่ดี และมีแนวโน้มที่การแฟโรบัสต้า บ้านสะเนพ่อง จะได้รับความนิยมและเป็นที่รู้จัก ของคอกาแฟ เนื่องจากปัจจุบันหลายหน่วยงานเริ่มเข้ามาให้การสนับสนุน ส่งเสริมให้เพิ่มพื้นที่การปลูกกาแฟ เพราะที่ผ่านมาเป็นที่ปรากฏชัดแล้วว่า กาแฟเป็นพืชที่สามารถปลูกร่วมกับไม้ยืนต้นที่มีอยู่ในธรรมชาติได้ดี เป็นพืชเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และที่มีอนาคตที่สดใส..เป็นที่ต้องการของตลาด.