วันที่ 10 ม.ค.63 ผู้สื่อข่าว ONB news รายงานว่า จากกรณีที่ได้มีการแชร์บนโลกโซเชียลเกี่ยวกับลุงวัย 46 ปีขับรถแทรกเตอร์พาแฟนมาหาหมอที่โรงพยาบาลซึ่งได้มีคนสงสารและร่วมบริจาคเงินมาจำนวนเงินที่สะสมอยู่ตอนนี้ 9 หมื่นบาทและได้มีคลิปอีกคลิปที่ออกมากรณีที่ลุงคันดังกล่าวได้ไปซื้อหญิงขายบริการและได้ออกมาโต้ว่าไม่ได้ซื้อแค่ไปเปิดห้องให้ลูกนอนเท่านั้น ล่าสุดได้มีหญิงขายบริการออกมาแฉว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริงและให้เงินกับหญิงคนที่ขึ้นไปนอนด้วยจำนวน 8900 บาท ซึ่งยืนยันว่าจริงทั้งหมด
นางสาวบี ผู้หญิงขายบริการคนนึง เปิดเผยว่า หลังจากมีข่าวลือคุณลุงนำเงินบริจาคมาเที่ยวนั้นตนยอมรับว่าเป็นเรื่องจริงเพราะเพื่อนที่ขึ้นไปกับลุงนั้นได้ขึ้นไปใช้บริการกันจริงอีกทั้งคุณลุงยังให้ค่าใช้บริการรวมเป็นเงิน 8,900 บาท ก่อนที่คุณลุงจะเสร็จภารกิจและแยกย้ายกันออกไป ส่วนผู้หญิงขายบริการดังกล่าวก็นำเงินพาเพื่อนในกลุ่มไปเที่ยวเตร่พร้อมบอกเล่าในกลุ่มให้รู้ว่าคุณลุงมีพฤติกรรมเช่นไร ซึ่งตนมองว่ามันไม่ถูกต้องการที่คนเราจะเที่ยวผู้หญิงขายบริการนั้นก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่การที่นำเงินบริจาคของพี่น้องประชาชนที่สงสารและร่วมกันบริจาคเพื่อช่วยเหลือภรรยาที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งมองว่ามันไม่ถูกต้อง
นายมาวิน อาญาเมือง คนถ่ายคลิป เผยว่า ตนเองจำลุงได้หลังจากมีการแชร์ข่าวใน social การช่วยเหลือภรรยาที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง พอเห็นลงมาจากโรงแรมกับผู้หญิงขายบริการก็รู้สึกไม่ดี จึงอยากถ่ายคลิปลงโซเชียลเพื่อให้พี่น้องประชาชนที่ร่วมกันบริจาคเงินได้เห็นถึงพฤติกรรมดังกล่าว และยอมรับว่าได้ลงมากับผู้หญิงจริงเห็นเต็มสองตา แต่การที่ลุงอธิบายว่าไม่ได้ขึ้นไปกับผู้หญิงนั้นอยากให้ลงออกมายอมรับแบบลูกผู้ชาย ไม่ใช่โกหกไปวันๆสักวันนึงสังคมจะได้รับรู้การที่นำเงินบริจาคมาเที่ยวนั้นมันไม่แฟร์กับผู้ที่บริจาคเงินเพื่อต้องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์
นายวันชนะ อาญาเมือง เจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์ เปิดเผยว่า ก่อนที่ลุงคนจะกล่าวจะมาจองห้องพักได้เดินวนเวียนหาผู้หญิงขายบริการหลายรอบ ก่อนที่เวลา 18.40 ของวันที่ 8 มกราคม 2563 ก่อนจะเข้ามาใช้บริการภายในโรงแรมได้จองห้องพัก1 คืน ค่าบริการ 220 บาท และค่ามัดจำกุญแจอีก 100 บาท มาพร้อมกับผู้หญิงคนนึงพร้อมเบียร์ 1 ขวด โดยลุงมีสภาพอาการเมา ก่อนที่จะขึ้นห้องไปพร้อมกับผู้หญิงขายบริการ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็ลงมาข้างล่างและแยกย้ายกัน ซึ่งตนเองรู้สึกว่าการที่ลุงนำเงินบริจาคของพี่น้องประชาชนมาใช้จ่ายแบบฟุ้มเฟือยแล้วไม่เห็นคุณค่า อีกทั้งภรรยาก็ป่วยเป็นโรคมะเร็ง จึงมองว่าเป็นสิ่งไม่ดีและอยากให้สังคมได้รับรู้กับพฤติกรรมเช่นนี้