หนุ่มทิ้งอุทาหรณ์ "ป่วยโรคตับแข็ง" ทั้งที่ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยง ต้องทนต่อสู้ด้วยหัวใจเข้มแข็ง จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
21 ก.พ. 2563, 11:02
ถือเป็นกรณีศึกษาเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพ ที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน ที่เจ้าของเรื่องราวนี้อยากนำมาแชร์บอกต่อเพื่อเป็นอุทาหรณ์ ให้ทุกคนไม่ประมาทในการดูแลร่างกายตัวเอง ถูกเผยแพร่โดยผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า Rit Chatcharit ได้บอกเล่าถึงปัญหาสุขภาพของตัวเขา ที่จู่ ๆ ก็มาพบว่าตัวเองป่วยเป็น "โรคตับแข็ง" ทั้ง ๆ ที่ปกติแล้วตัวเขาเองเป็นคนแข็งแรงมาก และเป็นถึงนักกีฬาว่ายน้ำ โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หนุ่มน้อยรายนี้ต้องทิ้งชีวิตที่กำลังสดใสในช่วงวัยรุ่น มาต่อสู้กับโรคนี้ด้วยหัวใจที่เข้มแข็ง จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต
เหลือทิ้งไว้เพียงเรื่องราวที่เป็นอุทาหรณ์ให้กับคนที่ยังอยู่ โดยราว ๆ เดือนพฤศจิกายน 2562 เจ้าของโพสต์ได้เคยนำเรื่องราวอาการป่วยของตัวเขามาเล่าผ่านเฟซบุ๊ก บอกว่า ตนเอง จริง ๆ เคยเป็นนักกีฬาว่ายน้ำ ตั้งแต่เด็กยันเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งเดิมทีมีร่างกายที่แข็งแรงมาก ๆ แทบไม่เคยป่วย หรือเป็นอะไรเลย ซึ่งทุกคนมักคุ้นชินกับคำว่าเป็นโรคตับแข็ง ต้องกินเหล้าหนักแน่ ๆ ซึ่งไม่เสมอไป การที่จะกินเหล้าแล้วเป็นโรคตับแข็งนั้น ต้องเป็นคนที่กินหนักมาก ๆ และกินติดต่อกันเป็นเวลานาน 10 - 20 ปี และโรคตับแข็งของตน ก็ไม่ได้เกิดจากไวรัสตับอีกเช่นกัน
แต่เกิดจากอะไร อาจารย์หมอก็ไม่ทราบ ตนรักษามา 6 ปี จนถึงตอนนี้ (พฤศจิกายน 2562) อาจารย์หมอหลาย ๆ คน ก็ยังไม่ทราบว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร ซึ่งเคสตนเป็นเคสที่อาจารย์หมอสนใจมาก เป็นเคส study
แล้วรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคตับแข็ง ? คือช่วง 6 ปีก่อน ตนก็ใช้ชีวิตอยู่ที่ กทม.ปกติเหมือนคนทั่วไป แข็งแรงปกติดี แต่มีอยู่วันหนึ่ง พอดีกลับมาบ้านที่กาญจนบุรี ตนนอนไม่ค่อยหลับ ก็เลยไปหยิบเบียร์มากิน 1 ขวด หลังกินหมดขวดก็ไปนอน พอตื่นเช้าขี้นมา มีอาการท้องอืด แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร สักช่วงบ่ายโมง ตนปวดท้องอยากถ่าย ก็ไปเข้าห้องน้ำตามปกติ แต่สิ่งที่ผิดสังเกตคือ อุจจาระตนมีกลิ่นแรงมาก เป็นกลิ่นคาว มีสีดำยางมะตอย และหนืดมาก แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร
ก่อนไปนอนทรมานกับอาการท้องอืดอยู่กับแม่ จากนั้นแม่ตนจึงสังเกตเห็นทำไมวันนี้ตาเหลืองมาก ๆ ซึ่งตนก็ไม่รู้ นอนหลับไปจนถึงช่วง 4 - 5 โมง ก่อนจะอาเจียนออกมากองใหญ่มาก ๆ หลังจากอาเจียนแล้ว จึงหายท้องอืด แต่พอไปสังเกตสิ่งที่อาเจียนออกมา เป็นสีน้ำตาล และมีก้อนลิ่มเลือดเยอะมาก แม่เห็นก็ตกใจจึงพาไปโรงพยาบาล ตอนแรกไปที่คลีนิคก่อน คลีนิคบอกให้รีบไปโรงพยาบาลด่วน
พอถึงโรงพยาบาลถูกพาขึ้นเตียง พยาบาลเช็คนั่นนี่ แล้วก็รีบเอาตัวเข้าห้องฉุกเฉิน ตอนนั้นยอมรับว่างงมาก สักพักพยาบาลบอกว่าต้องสอดสายเข้าจมูก พอบอกให้กลืนสายก็กลืนลงไปนะ ตอนนั้นคิดในใจว่าคงเจ็บแน่ ๆ และก็เจ็บจริง ๆ ด้วยเพราะตนกลืนไม่ถูกจังหวะด้วยเลยเจ็บหนักกว่าเดิม พอพยาบาลสอดเข้าไปได้แล้ว เขาก็ฉีดน้ำเกลือเข้าไปล้างในท้อง และก็ดูดออกมา ตอนดูดออกมาเห็นเป็นสีเลือดแดง ๆ เยอะมาก เขาบอกว่าอย่าอาเจียนนะ แต่ก็นั่นแหละ ตนอาเจียนทันทีเลย อาเจียนออกมาเป็นเลือด พยาบาลก็ดูดเข้าออกหลายรอบจนแทบไม่มีสีเลือด จนเขาคิดว่าเลือดหยุดไหลแล้ว
คือคืนนั้นอะถ้าตนไม่ยอมมาโรงพยาบาล ตนอาจจะตายไปแล้วก็ได้ เพราะเลือดไหลจากภายใน และไหลไม่หยุด นอนโรงพยาบาลอยู่ประมาน 1 สัปดาห์ หมอให้อดข้าวอดน้ำ 2 - 3 วัน หมอมีการตรวจนั่นนี่ พาไป ct scan และก่อนวันออกโรงพยาบาลหมอก็ได้เข้ามาคุยในห้อง แม่กะป๊าก็อยู่ด้วย หมอบอกว่าที่เลือดออกภายใน เกิดจากเส้นเลือดขอดที่คอแตกจึงทำให้เลือดไหล เกิดจากการกินแอลกอฮอล์ และหมอก็บอกว่าหมอ ct scan ตับหมอเห็นเป็นจุด ๆ ซึ่งหมอคิดว่าน่าจะเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย ตอนนั้นแม่ก็ตกใจร้องไห้เลย ในขณะที่ตนงงมาก ว่าจะเป็นได้อย่างไร ตนแข็งแรงมาก หมอก็บอกหมอเองไม่แน่ใจ จะต้องทำการเจาะตับเอาชิ้นเนื้อไปตรวจดูว่าเป็นอะไรแน่ หรือจะให้หมอส่งตัวไปรักษาที่กทม. แม่กับป๊าก็บอกให้หมอส่งตัวไปกทม. และหมอก็เขียนใบส่งตัวไปตรวจที่สถาบันมะเร็ง ตรวจใหม่หมด และได้เข้าพบอาจารย์หมอคนหนึ่ง เขาบอกว่าตนไม่ได้เป็นมะเร็ง น่าจะเป็นโรคอื่นมากกว่า จากนั้นได้เขียนใบส่งตัวไปที่โรงพยาบาลราชวิถี
เริ่มตรวจรักษาจากศูนย์ ผลออกมาว่าโรคตับที่เป็น เกิดจากเส้นเลือดฝอยในตับอุดตัน จนทำให้เป็นโรคตับแข็ง
ตกใจพบตนเองอุจจาระออกมาเป็นสีขาว ตัวเหลืองกว่าเดิม เพิ่มเติมคือมีอาการคันตามตัว และปวดกระดูก มีปัญหาทางสายตา ตาพร่า เริ่มมองตัวหนังสือไม่เห็น ต้องเข้าโรงพยาบาลอีกครั้ง และได้รับคำตอบจากคุณหมอว่าเกิดจากของเสียในร่างกายขึ้นสมอง ต้องเข้ารับการผ่าตัดด่วน เพราะตับอาจวายได้
พบเป็นตับแข็งระยะสุดท้าย ต้องเปลื่ยนตับเร็วที่สุด อาการข้างเตียงคือกินเค็มไม่ได้ ท้องบวมน้ำ กล้ามเนื้อเริ่มหาย ภูมิต้านทานในร่างกายแทบไม่เหลือ
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าการไม่มีโรค คือลาภอันประเสิรฐ และหากได้ตับใหม่มาก็จะดูแลรักษาให้ดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม จากวันที่ชายหนุ่มได้ออกเล่าประสบการณ์อาการป่วยโรคตับแข็งของตัวเอง เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา มาถึง ณ วันนี้ เขาได้จากโลกนี้ไปแล้ว เหลือทิ้งไว้เพียงเรื่องราวอุทาหรณ์ที่ฝากไว้เพื่อเตือนใจผู้อื่น ต้องขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของน้อง มา ณ โอกาสนี้