เปิด ปิด การใช้งานคุกกี้ของ ทรูฮิต (Truehits Cookies)



สาวเล่าประสบการณ์ ใช้สิทธิประกันสังคมตรวจไวรัสโควิด-19 8 สเต็ป ทนถูกกักในห้องปลอดเชื้อ 25 ชม. เพราะต้องรับผิดชอบต่อสังคม


26 ก.พ. 2563, 09:52



สาวเล่าประสบการณ์ ใช้สิทธิประกันสังคมตรวจไวรัสโควิด-19  8 สเต็ป ทนถูกกักในห้องปลอดเชื้อ 25 ชม. เพราะต้องรับผิดชอบต่อสังคม




ถือเป็นแบบอย่างที่ดี ของผู้ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมอย่างแท้จริง สำหรับเรื่องราวต่อไปนี้ ของหญิงสาวผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า Plernpin Jintakan ซึ่งเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา เธอได้ออกเล่าถึงประสบการณ์เข้ารับการตรวจคัดกรองเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ 2019 (Covid-19) ที่เป็นการสมัครใจเข้าตรวจคัดกรองที่โรงพยาบาลด้วยตัวเอง หลังเดินทางกลับจากประเทศญี่ปุ่น ในช่วงที่มีการประกาศเรื่องการระบาดของไวรัส และพบว่ามีอาการเป็นไข้ จึงตัดสินใจเข้ารับการกักตัวในห้องปลอดเชื้อ กับการตรวจคัดกรอง 8 สเต็ป เป็นเวลา 25 ชั่วโมง เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม


โดยเธอได้โพสต์เล่าถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น บอกว่า เนื่องจากตนไปเที่ยวญี่ปุ่นมาตอนวันที่ 14-19 กุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งเป็นช่วงคาบเกี่ยวที่สาธารณสุขประกาศว่าญี่ปุ่นอยู่ระดับ 3 ถ้าไม่จำเป็นไม่ให้เดินทางไปเที่ยว แต่ตอนนั้นตนอยู่ที่ญี่ปุ่นแล้ว ทำอะไรไม่ได้ แต่ระหว่างที่อยู่ที่นั่น ตนก็ล้างมือแล้วปิดแมส ระวังการหยิบจับ พกแอลกอฮอล์ หลังจบทริป ตอนที่ลงจากเครื่องมา ไม่ได้มีไข้อะไร ก็เลยผ่านมาได้ปกติ ตนทำใจไว้แล้วว่ากลับมาแล้วต้องรับผิดชอบต่อสังคม ตนทำใจถึงกระทั่งว่า กลับมาที่ไทยต้องมีคนรังเกียจ และพูดจาไม่ดีใส่ ซึ่งตนโอเค ใจเขาใจเรา ตนก็เข้าใจคนอื่นว่าเขารู้สึกอย่างไร



วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2563 เริ่มมีอาการเป็นไข้ (ไข้ 37.5 ก็นิ่งนอนใจไม่ได้) ปวดเมื่อยตามร่างกายนิดหน่อย แต่ไม่มีอาการจาม ไม่มีน้ำมูก ไม่มีอาการเหนื่อยหอบ ไม่ได้เจ็บคอรุนแรง ไม่นิ่งนอนใจรีบมาพบแพทย์ ตามที่สาธารณสุขที่แจ้ง เพื่อป้องกันตัวเอง และคนรอบข้าง สิทธิ์ประกันสังคมอยู่ที่โรงพยาบาลแพทย์รังสิต พอมาถึงพยาบาลพาไปที่ห้องแยก เป็นห้องคัดกรองเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องเฝ้าระวังโคโรนา ปิดโซนเพื่อไม่ให้มีผู้ป่วยประเภทอื่นเข้ามา ให้เครดิตคุณหมอ และพยาบาล ที่ปฏิบัติตัวกับเราอย่างไม่รังเกียจ และเต็มที่มาก

สเต็ปที่ 1 : 8.30 - 10.00 น. ตรวจเบื้องต้น ตรวจเลือด เอ็กซเรย์ปอด ตรวจจมูกแบบไข้หวัดใหญ่ (ไม้ยาวแหย่ลงจมูก) เนื่องจากตนมี ประวัติการเดินทางไปที่ประเทศที่มีภาวะเสี่ยง

สเต็ปที่ 2 : 11.00 น. เข้าพบคุณหมอ คุณหมอ และพยาบาล มาในชุดป้องกัน ร่างกาย ตา จมูก เพราะตนถือว่าเป็นผู้เข้าข่ายต้องเฝ้าระวัง แล้วก็มีการซักประวัติ ว่าตนมีพฤติกรรมตอนไปเที่ยวต่างประเทศอย่างไร แล้วก็มีการเก็บตัวอย่าง การตรวจจมูกแบบไข้หวัดใหญ่ (ไม้ยาวแหย่จมูก) ตรวจคอ ( ไม้ยาวแหย่ลงคอ ) ค่อนข้างอึดอัดทรมานอยู่สักพักหนึ่ง


สเต็ปที่ 3 : 12.00 น. พยาบาลมาแจ้งว่า ตนได้ขึ้นทะเบียนกับสาธารณสุขว่าเป็นผู้ป่วยต้องเฝ้าระวัง ต้องทำการกักตัว และดูอาการ ที่ห้องปลอดเชื้อ ICU ณ ตอนนั้นตกใจมาก ตนเป็นหนักหรือ? ทำไมต้องให้เข้าไปอยู่ห้อง ICU ด้วย มีคำถามวนอยู่ในใจมากมาย พอเซ็นเอกสารยืนยันเข้ารับการรักษา ก็รอเข้าไปที่ห้อง ICU 

สเต็ปที่ 4 : 13.00 น. เข้ามาที่ห้อง ICU ห้องปลอดเชื้อ เป็นห้องเดี่ยว ๆ ที่ไม่มีอากาศภายนอกเข้ามาได้ ไม่มีทีวี มีแต่เครื่องตรวจวัดตามร่างกาย 5 จุด เครื่องให้ออกซิเจน และเครื่องวัดความดัน ที่จะวัดทุก ๆ 1 ชั่วโมง รายงานผลจอมอนิเตอร์ แล้วจะมีการวัดไข้ทุก 4 ชั่วโมง แล้วต้องใส่ออกซิเจนเพิ่มเติม เพราะว่าร่างกายมีออกซิเจนต่ำ บรรยากาศค่อนข้างเงียบ และอึมครึม ไม่ได้มีคนเดินผ่านให้เห็นบ่อย ๆ ไม่ได้มีอะไรให้มองนอกจากนาฬิกา เวลาผ่านไปช้ามาก มันตึงเครียด กลัว เปล่าเปลี่ยวไปหมด แล้วคือห้ามลงจากเตียง เจ้าหน้าที่ที่จะเข้ามาในห้องทุกครั้ง ไม่ว่าตนจะปวดฉี่ หรือต้องการอะไร จะต้องสวมชุดป้องกัน ใส่หมวก ใส่แมส ใส่แว่นตา กว่าจะได้เข้ามา ค่อนข้างลำบาก แล้วตนก็เกรงใจ ในใจตอนนั้น คือตกใจ งง แบบดูจริงจังไปหมด ดูอะไรก็ลำบากไปหมด แต่ก็เข้าใจนะ แล้วก็รู้สึกดีที่มีการป้องกัน และเซฟเจ้าหน้าที่ และตัวเรามากขณะนี้

สเต็ปที่ 5 : 17.00 น. คุณหมอเข้ามาตรวจ ขออนุญาตเอ่ยชื่อ (นพ. ณวร) เพราะคุณหมอน่ารักมาก ๆ คุณหมอได้เข้ามาตรวจปอด ตรวจคอ ตรวจออกซิเจนในร่างกาย แล้วพูดคุยกับตน รวมถึงอธิบายให้ฟัง ว่าผลตรวจที่กำลังจะออกเป็นผลที่แน่ชัด มีการตรวจลึกถึงรหัสพันธุกรรม ถ้าเกิดไม่มีเชื้อก็สามารถกลับบ้านได้ แต่ถ้ามีเชื้อก็ต้องทำการรักษาอย่างเร่งด่วนเลย โชคดีที่คุณได้มาอยู่ในห้องนี้ หมอไม่รู้ว่าในจังหวัดเรามีห้องแบบนี้กี่ที่ แต่คงมีไม่มาก อยากให้คุณมั่นใจว่าห้องที่คุณอยู่เป็นห้องที่ดี และปลอดเชื้อ หมอเข้าใจว่าห้องนี้มันเป็นห้องที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน หมอจะพยายามให้คุณรีบออกไปให้ได้มากที่สุดนะ เพราะหมอต้องสำรองห้องเอาไว้สำหรับผู้ป่วยที่เป็นเคสหนักด้วย พอคุณหมอเข้าไปที่ห้องเปลี่ยนชุด ตนก็ได้มองเห็นว่าคุณหมอเขาทำการเทรนพยาบาลอีกครั้ง เพื่อให้รัดกุม ว่าต้องปฏิบัติตัวกับเราแบบไหน ใส่ชุดยังไง ป้องกันกี่ชั้น รักคุณหมอตรงนี้ ที่ใส่ใจ

ความรู้สึกหลังจากที่คุณหมอเข้ามา เราก็เผื่อใจไว้แล้ว 50/50 ภาพในหัวทุกอย่างลอยมาหมดเลย ภาพหน้าคนที่เรารัก และหลาย ๆ อย่าง แต่ตนเชื่อมั่นในกระบวนการสาธารณสุขของประเทศไทย เพราะว่าตนได้มาสัมผัสจริง ๆ มาทั้งหมอ พยาบาล เจ้าหน้าที่ แล้วก็ระบบการตรวจที่รัดกุม ดีมาก ต่อให้ตนเป็น ตนก็มั่นใจว่าจะหายเพราะว่ามีคนที่รักษาหาย

สเต็ปที่ 6 : 01.00 น. ผลตรวจเลือดออกมาแล้ว แต่ตอนนั้นตนหลับอยู่ พยาบาลไม่ได้ปลุก แต่ก็ไม่ได้หลับสนิท (ไม่เคยหลับสนิทเลย ไม่ใช่เพราะเครียดนะ 555 แต่เป็นเพราะว่า ความดันมันวัดทุก ๆ ชั่วโมง มันจะบีบแขนเราทุกชั่วโมง )

สเต็ปที่ 7 : 05.30 น. พยาบาลมาแจ้งผลตอนเช้า ผลตรวจออกมาว่าไม่มีเชื้อโคโรนา เป็นแค่ไข้ธรรมดา คุณพระ!!! เหมือนถูกหวยยังไงยังงั้น ยกภูเขาเอเวเรสออกจากอก แถมพยาบาลเล่าว่า คุณหมอโทรเข้ามาที่โรงพยาบาล ตอนกลับบ้านไปแล้ว เพื่อติดตามฟังผลอยู่ตลอด พยาบาลเอาใบผลมาให้ตนดูเพื่อความสบายใจ และพยาบาลก็มาแจ้งให้ตนย้ายไปห้องปกติ เพื่อรอพบคุณหมอช่วงเช้า ที่สำคัญคือ พยาบาลเข้ามาอาบน้ำเช็ดตัวให้บนเตียง ตนก็บอกว่าตนอาบเองได้นะ ตนเกรงใจแล้วตนก็เขินด้วย พยาบาลขำ แล้วบอกไม่เป็นไรค่ะยังลงจากเตียงไม่ได้นะ เดี๋ยวทำให้หมดเลยค่ะ ไม่เป็นไรเลย ให้หัวใจพยาบาลอีกดวง

สเต็ปที่ 8 : 07.00 น. พยาบาลมาตรวจคลื่นหัวใจ แล้วแสกนปอดอีกครั้ง ( แม้ผลจะออกมาแล้ว ก็ยังตรวจนั่นนี่นั่นให้ต่อ ) 14.00 น. หมอให้กลับบ้านได้ แจ้งว่าร่างกายปลอดภัยจากไวรัส 100% แต่ถ้าหากมีไข้ในระยะนี้ให้กลับมาโรงพยาบาลอีกครั้ง เพื่อเช็คเชื้อไวรัสอีกรอบ เพราะอาจจะมีเปอร์เซ็นต์ที่อาจจะติดก็ได้แม้ว่าจะน้อยมาก ฉะนั้นให้กักตัวเองต่ออีกจนครบ 14 วัน แล้วกลับมาพบแพทย์ตามนัดอีกครั้ง

ประกันสังคม ขอบคุณที่ดูแลทุกค่าใช้จ่าย ครอบคลุมทุกการรักษา โรงพยาบาลแพทย์รังสิต ขอบคุณคุณหมอ ขอบคุณพยาบาล และขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกคน ที่ไม่มีท่าทีรังเกียจ จะพยายามดูแลเป็นอย่างดี ขอบคุณสาธารณสุขที่ช่วยประสาน และให้สิทธิ์การรักษาการตรวจแบบละเอียดของไวรัสโคโรนา ขอบคุณหัวหน้า พอรู้ข่าวก็อนุมัติให้ทำงานที่บ้านได้เลย  

คำถามที่ว่า แบบไหนถึงใช้สิทธิประกันสังคมครอบคลุม มีอาการไอ จาม มีน้ำมูก เป็นไข้ เหนื่อยหอบ บวกกับได้ไปเที่ยวต่างประเทศ ในประเทศที่เสี่ยงติดเชื้อจริง อันนี้ประกันสังคมครอบคลุม ไม่มีค่าใช้จ่าย แต่หากไม่มีอาการที่สุ่มเสี่ยงว่าจะเป็น แม้ว่าจะเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศจริง หรืออยากตรวจเองเพื่อความสบายใจ อันนี้ประกันสังคมไม่ครอบคลุม ต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง ค่าตรวจโคโรน่า 7,000 - 8,000 บาท ยังไม่รวมค่าห้องที่ต้องนอนรอผล (ราคาขึ้นอยู่กับโรงพยาบาลด้วย)


สำหรับคนที่ไปต่างประเทศ ในประเทศเสี่ยง ช่วงก่อนสาธารณสุขประกาศแบบตน มีอาการรีบพบแพทย์ ถ้าอยากชัวร์มาตรวจเองเลย ที่โรงพยาบาล ยอมเสียค่าตรวจหน่อย ถ้าอยากสบายใจ สำหรับคนที่คิดจะลังเล ไป/ไม่ไป ตอนนี้ สาธารณสุขประกาศแล้ว ถ้าเป็นไปได้ แนะนำปรึกษากับสายการบิน และกรุ๊ปทัวร์ ถ้าเลื่อนได้ยกเลิกได้ แนะนำให้ทำ ถ้ากลับมาแล้วเป็นอะไรไปมันไม่คุ้มเลย  ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงต่อคนที่เรารัก และคนรอบข้างทุกคน ไม่ว่าจะเป็นสังคมที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าเขาจะรังเกียจเราหรือเปล่า สุขภาพตัวเองที่เราไม่รู้ว่าเราเซฟตัวเองดีแล้ว แต่มันเซฟได้ 100% หรือเปล่า รวมถึงถ้าเป็นอะไรที่ไม่น่าไว้ใจ ก็ต้องมานอนที่โรงพยาบาลหลายชั่วโมงแบบตน เพื่อตรวจ จิตตกและเสียเวลาด้วย เข้าใจดีว่าเสียดายเงินที่ได้จองไป แต่เงิน..หาเมื่อไรก็หาได้ ตราบใดที่เรายังไม่ตาย แต่ถ้าเราตายเราจะไม่มีโอกาสได้หาเงินไปเที่ยวที่อื่น ๆ ต่อนะ ด้วยรัก และหวังดี
 






Recommend News






MOST POPULAR


























©2018 ONBNEWS. All rights reserved.