เด็ดขาด! "บิ๊กตู่" สั่งกักตัวผีน้อยเกาหลี จาก 2 เมืองเสี่ยง "โควิด-19" 14 วัน
4 มี.ค. 2563, 14:38
วันนี้ ( 4 มี.ค.63 ) พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม แถลงข่าวภายหลังการประชุมจัดเตรียมมาตรการเร่งด่วนเพื่อรองรับแรงงานไทยที่เดินทางกลับจากประเทศเสี่ยงต่อการติดเชื้อและแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ณ ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล สรุปสาระสำคัญดังนี้
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่ารัฐบาลมีนโยบาย การสั่งการและติดตามความคืบหน้าเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มาโดยตลอด โดยขณะนี้ยอดผู้ติดเชื้อในประเทศไทยอยู่ในลำดับที่ 17 ใน 75 ประเทศ ซึ่งถือว่ายังมีผู้ติดเชื้อจำนวนน้อย
สำหรับกรณีที่ประชาชนไทยมีความห่วงใยต่อการเดินทางกลับประเทศของแรงงานไทยผิดกฎหมายหรือกลุ่มผีน้อย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าอย่างไรก็ตามคนกลุ่มนี้ถือว่าเป็นคนไทยซึ่งรัฐบาลต้องให้ความดูแล แต่ต้องไม่ให้เกิดผลกระทบต่อความเชื่อมั่น โดยมีมาตรการคัดกรองตั้งแต่ต้นทางคือสาธารณรัฐเกาหลี จะมีการตรวจคัดกรองในเบื้องต้น หรือ Exit Screening ทุกสายการบินหากพบผู้โดยสารมีไข้ก็จะปฏิเสธไม่ให้ขึ้นเครื่อง หรือหากขึ้นมาแล้วเป็นไข้ก็ต้องจัดให้แยกที่นั่งและแยกห้องน้ำ ซึ่งเป็นมาตรการควบคุมบนเครื่อง
รัฐบาลมีการประสานความร่วมมือกับทุกหน่วยงาน เช่น กระทรวงคมนาคม การท่าอากาศยานฯ กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งมีมาตรการคัดกรองที่เป็นมาตรฐาน รัดกุม หากพบผู้เดินทางเข้าประเทศที่มีไข้ จะคัดแยกออกตั้งแต่ที่สนามบินเพื่อไปรับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลต่อไป
ทั้งนี้แรงงานไทยที่เดินทางกลับจากสาธารณรัฐเกาหลี จะแยกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1. คนไทยที่กลับจาก 2 พื้นที่ที่พบความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 คือเมืองแทกูและคย็องซัง ทุกคนจะต้องถูกกักตัว ในพื้นที่ควบคุมโรค ตามที่รัฐบาลจัดไว้ให้เป็นเวลา 14 วัน (State quarantine) 2. ผู้ที่มาจากเมืองอื่นๆ ในสาธารณรัฐ หากไม่พบอาการไข้จะได้เดินทางกลับตามภูมิลำเนา แต่จะจัดพื้นที่ในส่วนราชการ หรือสถานพยาบาลไว้ เพื่อติดตามอาการ (Local quarantine) โดยกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงสาธารณสุขจะหารือกันเพื่อหาสถานที่เหมาะสมต่อไป
ในการนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงเรื่องหน้ากากอนามัยว่า ขณะนี้มีกำลังการผลิต 1 ล้านชิ้นต่อวัน โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1. จัดส่งให้บุคลากรทางการแพทย์ ณ โรงพยาบาลของรัฐ จำนวน 300,000 ชิ้น 2. จัดส่งให้ร้านค้าทั่วไปเพื่อจัดจำหน่าย จำนวน 700,000 ชิ้น ซึ่งภาครัฐมีการติดตามและตรวจสอบช่องทางการจัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้หน้ากากอนามัยไปถึงประชาชนอย่างทั่วถึงในทุกพื้นที่