ชาวเน็ตยกย่อง แรงงานสาวไทยกลับจากเกาหลี กักตัวเองในบ้านหลังน้อย 14 วัน
7 มี.ค. 2563, 20:12
วันที่ 7 มี.ค.63 ตามที่มีกระแสข่าวในโลกโซเชียลทางเฟสบุ๊ค ชื่อ MissyNok Chamaiporn ชาวโซเชียลต่างวิพากษ์วิจารณ์ ชื่นชม หลังเดินทางกลับจากประเทศเกาหลี เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 63 ที่สนามบินสุวรรณภูมิ โดยมีพ่อแม่มารับที่สนามบินเดินทางกลับ อำเภอเมืองสระบุรี ซึ่งเจ้าของเฟสบุ๊คเป็นแรงงานสาวไทย (ถูกกฎหมาย) ในเกาหลีใต้ โรงงานชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ทำงานมาประมาณ 4 ปี 7 เดือน แล้วหมดสัญญาว่าจ้าง
หลังจากลงเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิ ไม่ได้สวมกอดพ่อ แม่ ต้องนั่งท้ายรถกระบะ และกลับถึงบ้านก็ไม่ได้เข้าบ้านที่เคยพักอาศัยมาตั้งแต่เด็ก ต้องไปพักกักตัวเองในบ้านหลังน้อย(ดูเหมือนกระต๊อบ) เพื่อป้องกันการติดเชื้อ covid-19 ที่มีรั้วรอบขอบชิด ไฟฟ้าไม่มีเข้า(ปัจจุบันมีแล้ว) ห้องน้ำก็ไม่มี กลางวันแดดก็ร้อนมาก ต้องปรับสภาพตัวเองทุกอย่าง ในยามว่างก็เก็บสิ่งของทำความสะอาด รดน้ำ ปลูกต้นไม้ ซึ่งสาวแรงงานไทยคนนี้กลับมีแนวคิดและเป็นแบบอย่างให้กลับสังคมที่ต้องมีสำนึกและรับผิดชอบร่วมกัน ในสภาวะการระบาดของเชื้อ covid-19
ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ไปยังบ้านไม่มีเลขที่ ม.3 บ้านโคกหนามแท่ง ต.หนองปลาไหล อ.เมือง จ.สระบุรี พบนางสาวชไมพร เดชยศดี (น้องนก) อายุ 27 ปี สาวแรงงานไทย เจ้าของเฟสบุ๊ค ชื่อ MissyNok Chamaiporn ในสภาพร่างกายแข็งแรง มีความสดใสร่าเริง และ ได้สอบถามว่า หลังจากตนเองได้โฟสต์ลงในเฟสบุ๊ค หลังกลับจากการประเทศเกาหลี แล้วลงเครื่องบินมาเพื่อเดินทางกลับบ้าน ตนเองคิดอย่างไรกับโรคไข้หวัด โควิด covid-19 เราต้องอยู่ห่างจากคนอื่น เพราะโรคชนิดนี้ เป็นโรคติดต่อทางลมหายใจ เมื่อมีคนเยอะๆๆก็สามารถ ติดต่อไปถึงผู้อื่นได้ สำหรับตนเองนั้น ได้รับแหล่งความรู้จากโลกโซเชียลและตามเฟสความรู้ต่าง ๆๆ เพื่อป้องกันและไม่ให้ระบาด หลังจากนั้นได้พูดคุยกับพ่อและแม่ว่าหลังลงเครื่องบินมาแล้วให้ทำการเตรียมการหาสถานที่ ที่จะทำการวางแผนกักตัวเองอยู่คนเดียวโดยไม่มีผู้ใดเข้าใกล้หรือคลุกคลี โดยเฉพาะคนในครอบครัวและเพื่อนบ้าน ในส่วนของตนอยู่วันนี้มาเป็นวันที่ 7 แล้วก็ยังแข็งแรงดี แต่ก็ป้องกันไว้ก่อนดีกว่าแก้ สำหรับวันนี้ทุกวันทำกิจกรรมเช่น ขุดดิน ปลูกผัก รดน้ำ ต้นไม้ สำหรับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข หรืออนามัยของอำเภอเมืองสระบุรี ก็ได้โทรมาสอบถามถามว่า อาการเป็นอย่างไร เป็นไข้ไหม ทางเราก็ตอบไปว่า แข็งแรงดี ไม่มีไข้ ก็ก็ได้ให้เบอร์โทรศัพท์ติดต่อกลับไว้ ถ้ามีปัญหาก็จะส่งเจ้าหน้าที่มาดูแล สำหรับน้องนก อยากจะบอกว่า ให้พี่ ๆๆ น้อง ๆๆๆที่เดินทางกลับจากประเทศให้เราร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของรัฐ และเป็นไปได้ให้กักตัวเองอยู่กับบ้านประมาณ 14 วันตามที่คำชี้แนะของเจ้าหน้าที่ และหาความรู้ตามเพจ เฟสบุ๊ตที่ให้ความรู้ในเรื่องโรคไข้หวัด โควิด covid-19
สำหรับตนเองคิดตั้งแต่ก่อนกลับจากเกาหลีแล้วว่า ที่ประเทศเกาหลี นั้นคนป่วย ต้องกักตัวเองอยู่ คนเดียว จึงเป็นสาเหตุให้ตนเองคิดว่า กลับมาตนเองมีที่อยู่ซึ่งห่างจากครอบครัวจึงแยกออกมาอยู่คนเดียวดีกว่า สำหรับการแยกมาอยู่คนเดียวนั้นการทำอาหารไม่เป็นอุปสรรคเพราะว่า อยู่ประเทศเกาหลีตนเองก็ทำอาหารกินอยู่แล้ว สำหรับการอาบน้ำก็ต้องอาบน้ำในเวลากลางคืน เพราะว่ามีโอ่งอยู่นอกชายคากระต๊อบน้อยรู้สึกอาย ๆๆอยู่บ้างแต่ก็ไม่เป็นปัญหา จากนั้นผู้สื่อข่าวว่า ทำไมต้องแชร์เรื่องนี้ในโลกโซเชียล น้องนกตอบว่า อยากจะให้คนในโลกโซเชียลเห็นว่า สัก 2 คนก็ยังดีว่า ตนเองมีความรับผิดชอบก็อยากคนอื่นที่เดินทางมาจากประเทศเสี่ยงมีความรับผิดชอบแบบตนเอง เพราะว่าโรคนี้ใคร ๆๆ ก็กลัวอยู่แล้ว ตนเองทำงานอยู่ในประเทศเกาหลีมานาน เวลาเดินออกไปด้านนอกพบคนมากมาก พร้อมข่าวเรื่องไข้หวัดดังกล่าว ตนเองมีความรู้สึกว่า หายใจแบบไม่ทั่วท้อง คิดว่า ถ้าเป็นประเทศไทยจะเป็นอย่างไร เมื่อกลับมาจากเกาหลี จึงอยากจะสร้างความมั่นใจให้กับตนเอง และคนรอบข้างให้สบายใจ เพื่อออกจากการกักตัว 14 วันนี้แล้วจะได้เดินในสงคมอย่างภาคภูมิใจ สำหรับตนเองตั้งใจไว้ว่า จะต้องกักตัวเองอยู่สัก 1 เดือน แต่ปรากฏว่า หลังออกไป 14 วันต้องไปดำเนินการเดินเรื่องเอกสารการทำงานต่อที่หน่วยงานราชการที่กรุงเทพมหานคร จึงอยู่อยู่แค่ 14 วัน
จากนั้นผู้สื่อข่าวได้สัมฯ นางเทียน เดชยศดี อายุ 47 ปี แม่ของนางสาวชไมพร เดชยศดี (น้องนก) อายุ 27 ปี สาวแรงงานไทย กล่าวว่า ตนเองไม่ทราบเรื่องของลูกสาว เพราะมารู้อีกที่ อีก 3 วันลูกได้เดินทางกลับมาประเทศไทย โดยได้คุยปรึกษากับลูกสาว ว่าหลังกลับให้ที่อยู่ให้ด้วย เพราะว่าลูกสาวจะไม่เข้าบ้าน เพราะว่ากลัวคนตนเองจะติดโรคมาจากประเทศเกาหลี เพราะเป็นห่วงคนในบ้านและคนรอบข้าง สำหรับแม่เองก็เป็นห่วงลูกสาว เพราะว่าที่อยู่นั้นไม่มีไฟฟ้า น้ำ จะอยู่อย่าง อาหารการกินจะทำกินอย่างไร และยังอากาศร้อนอีกด้วย ซึ่งลูกสาวก็ตอบว่า อยากจะให้พ่อ แม่ และคนรอบข้างสบายใจ เวลา ไปตลาดกลัวคนจะมอง และตำหนิ สุดท้ายพ่อและแม่ก็มาทำที่พักให้ ตอนไปรับลูกสาวลงจากเครื่อง พอผ่านเครื่องตรวจจับและเอ็กเรย์ และหิ้วกระเป๋าขึ้นรถ ตนเองสงสารลูกมากเลยลูกสาวของนั่งท้ายกะบะ ตนเองก็ให้พ่อขับรถด้วยความระมัดระวัง หันมามองลูกสาวและโบกมือทักทายกันบ่อย จนมาถึงที่พักเลย แล้วก็มาพักอาศัยและกักตัวเอง ณ.ที่แห่งนี้ เลย