โลกโซเชียลถล่ม ! บริษัทเอกชนจัดกิจกรรม "แจกข้าวกล่อง" หวั่นกลายเป็นแหล่งแพร่ระบาดโควิด-19
2 เม.ย. 2563, 08:23
วันนี้ 1 เม.ย. 2563 ผู้สื่อข่าว ONB news รายงานว่า โลกโซเชียลได้วิพากษ์วิจารณ์และแชร์ภาพที่ปรากฏในเพจเฟซบุ๊กต่างๆ รวมทั้งเพจของ ‘หมอแล็บแพนด้า’ กรณีการจัดกิจกรรมแจกข้าวกล่องและอาหารแห้ง รวมถึงน้ำดื่มฟรี กว่า 500 ชุด ของร้านจำหน่ายล้อแม็กรถยนต์แห่งหนึ่ง ที่ตั้งอยู่บริเวณริมถนนสายกาญจนบุรี – อู่ทอง ใกล้สี่แยกอู่ทองตัดทางรถไฟ หน้าหมู่บ้านจงเจริญ ตำบลปากแพรก อำเภอเมืองกาญจนบุรี โดยมีการตั้งเต้นท์ พร้อมเขียนป้ายว่า “บริการตรวจวัดไข้ (โควิด) ฟรี ก่อนรับข้าวกล่อง โดยมีเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งมาบริการตรวจวัดไข้ให้กับประชาชนด้วย ขณะที่มีประชาชนนับร้อยคนมายืนเบียดเสียดต่อแถวเพื่อรอรับข้าวกล่องแน่นขนัด โดยไม่มีการควบคุมแถวให้ประชาชนที่มารับบริการโดยใช้หลักการ Social Distancing
โดยสมาชิกเฟซบุ๊กได้แสดงความเห็นในทางต่อว่าการแจกข้าวกล่องดังกล่าวอย่างหนัก ถึงแม้จะเป็นการช่วยเหลือสังคม ด้วยการแจกข้าวกล่องให้กับผู้ที่ประสบปัญหาการดำรงชีวิตและผู้ได้รับผลกระทบจากการปิดสถานประกอบการจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ก็ตาม แต่ควรจะมีการบริหารจัดการและมาตรการดูแลป้องกันที่ดีด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นแหล่งแพร่เชื้อได้
ขณะที่ หนึ่งในผู้ที่นำข้าวกล่องและน้ำดื่มมาแจกให้กับประชาชนในครั้งนี้ ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว หลังจากถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า “ทำแบบนี้แล้วสบายใจครับ ร่วมด้วยช่วยกันทำดีไม่ต้องอายใคร ปัญหาปากท้องสำคัญสุด ดีกว่าพวกไม่ทำค..ไร แล้วพูดไปเลื่อย...หัดทำบุญทำทานบ้างตายไปก็เอาไรไปไม่ได้..เกิดเป็นคนต้องสร้างความดีให้สังคม ทำให้เกิดผลประโยชน์กับบ้านเมืองสูงสุงอย่าไปแคร์คำพูดคนที่ไม่ช่วยและไม่คิดทำไร” ก่อนที่จะมีหญิงสาวผู้ใช้เฟซบุ๊กซึ่งคาดว่าเป็นอีกหนึ่งในผู้ร่วมจัดกิจกรรม เข้ามาคอมเม้นต์ชาวโซเชียลที่วิพากษ์วิจารณ์การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ด้วยถ้อยคำที่รุนแรง แต่ล่าสุดทั้งสองโพสต์ได้ถูกลบไปแล้ว
ต่อมา นายเดชา สมพงษ์ เจ้าของร้านรุ่งเรืองการยาง ที่เป็นผู้ริเริ่มจัดกิจกรรมในครั้งนี้ ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวว่า แรกเริ่มตนกับกลุ่มเพื่อนได้ร่วมกันรวบรวมเงินเพื่อจัดหาข้าวกล่องและอาหารแห้ง รวมถึงน้ำดื่มมาแจกจ่ายให้กับกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากโรคโควิด19 หวังช่วยลดผลกระทบความเดือดร้อนให้กับพี่น้องประชาชน โดยจัดเตรียมของเอาไว้ทั้งสิ้น 700 ชุด พร้อมจัดวางระบบการคัดกรองผู้เข้ารับของแจก มีการกำหนดจุดผู้มารับของให้ยืนห่างกัน คนละ 1 เมตร
ต่อจากนั้นเรามีเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลกาญจนบุรีเมโมเรียลมาช่วยตรวจคัดกรองวัดอุณหภูมิในร่างการทุกคนที่เจ้ามารับอาหาร หากพบว่าผู้ที่จะเข้ารับของแจกมีไข้สูงก็จะไม่ให้เข้ามาภายในงาน โดยจะให้รับของแจกภายนอก แล้วเดินทางกลับบ้านทันที นอกจากนี้ผู้ที่จะเข้ารับของแจกจะต้องสวมหน้ากากอนามัยและใช้เจลล้างมือก่อนเข้างาน
โดยมีการวางกำลังพนักงานเจ้าหน้าที่ของทางร้านกว่า 20 คน คอยดูแลความเรียบร้อย แต่ภาพที่ออกมาที่เห็นว่ามีคนหลายร้อยคนมาเบียดเสียดนั้น เนื่องจากเมื่อถึงช่วงแจกของในเวลา 12.00 น. พบว่ามีคนมาต่อแถวเป็นจำนวนมากไม่ต่ำกว่า 300 คน ต่างคนก็กลัวว่าจะไม่ได้รับของแจก จึงเบียดเข้ามาจนเกิดความแออัด เจ้าหน้าที่ที่เตรียมไว้ไม่สามารถคุมสถานการณ์ได้อยู่ จนกลายเป็นภาพความชุลมุนอย่างที่เห็น แต่มีการเจ้าจัดระเบียบภายใน 10 นาทีก็เรียบร้อย จากนั้นก็เริ่มแจกอาหารที่เตรียมไว้ 700 ชุด หมดภายในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง
ซึ่งหลังเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกโซเชียล ตนในฐานะเจ้าของผู้จัดงานก็เกิดความไม่สบายใจ และขอชี้แจงว่าตนรวมถึงกลุ่มเพื่อนที่ร่วมกันจัดงาน มีการวางแผนวางระบบไว้เป็นอย่างดี โดยเว้นระยะผู้รับของแจกไม่ต่ำกว่า 1 เมตร จัดเจลล้างมือและจุดตรวจวัดไข้ไว้บริการ แต่เนื่องจากมีผู้มาต่อแถวเข้ารับของแจกเป็นจำนวนมากเกินกว่าที่วางแผนการเอาไว้จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น ซึ่งหลังถูกโซเชียลรุมถล่ม ตอนนี้ก็ยังรู้สึกมึนๆ และรู้สึกเสียใจที่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็นเจตนาดีที่ตนตั้งใจช่วยเหลือผู้อื่น แต่ทั้งนี้ก็ยอมรับว่าตนอาจจะประมาทจัดระเบียบไม่ดีพอ จากนี้ไปก็คงจะไม่กล้าจัดกิจกรรมเช่นนี้อีก หากจะจัดก็คงจะต้องมีการวางแผนงานให้ดีกว่านี้
หลังเกิดเหตุการณ์ดังกล่าว นายจีระเกียรติ ภูมิสวัสดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดกาญจนบุรี ไดโพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ‘Jirakiat Bhumisawasdi’ ถึงกรณีที่เกิดขึ้นว่า “กรณีแจกของที่บริเวณแยกจงเจริญถือเป็นบทเรียนที่ผู้มีจิตปรารถนาดีพึงสังวรณ์และระมัดระวังเชื่อว่าผู้มีจิตกุศลและต้องการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในรายต่อๆไปต้องพิจารณาแนวทางการให้ความช่วยเหลือโดยคำนึงถึงสิ่งที่ควรควบคุมให้ได้ในการแจกด้วยครับ แต่อย่างไรก็ดีผมขอให้ทุกคนยุติเรื่องการกล่าวโทษซึ่งกันและกันได้แล้วครับ ตักเตือนกันพอหอมปากหอมคอเราคนกาญจนบุรีด้วยกันและจะต้องผ่านมันไปด้วยกันครับ”