เปิดเรื่องเล่าจากหมออนามัยบนดอย ที่น้อยคนจะรู้ สะท้อนหัวใจยิ่งใหญ่ ที่มีเพื่อชาวบ้านโดยแท้
24 เม.ย. 2563, 11:51
เกิดเป็นเรื่องราวที่กำลังสร้างความตื้นตันให้กับผู้คนในโลกสังคมออนไลน์อย่างแพร่หลาย เมื่อคุณหมออนามัยท่านหนึ่ง ได้ออกเผยเรื่องเล่าชีวิตการทำงานเป็นหมออนามัย ในการลงพื้นที่ดูแลสุขภาพของผู้ที่กักตัวฯ บนดอยแห่งหนึ่งในจังหวัดน่าน ซึ่งกิจวัตรในแต่ละวัน สะท้อนถึงความทุ่มเท เสียสละของหมอที่มีหัวใจเพื่อชาวบ้านโดยแท้
โดยคุณหมอเล่าว่า ในช่วงเช้าเข้าเวลาทำงาน ณ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบนดอยที่ห่างไกลจากความเจริญ ข้าพเจ้าประจำอยู่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล กับเพื่อนพยาบาลอีกคนหนึ่ง อากาศช่วงกลางวันมันช่างร้อนระอุ มองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นเปลวแดดระยิบระยับ ประหนึ่งว่ามีกองฟืนสุมอยู่ใต้พื้นดิน มีเสียงจักจั่น และนกร้องประสานเสียงรับกันเป็นระยะ ๆ ย้ำเตือนให้เห็นความเป็นธรรมชาติที่ยังคงความสมบูรณ์ และความแห้งแล้งบนดอย
พอว่างจากงานให้บริการแก่ผู้รับบริการในช่วงเช้า เวลาก็ล่วงเลยเที่ยงวันไปเกือบ 20 นาที ซึ่งเป็นเรื่องปกติของที่นี่ เวลาพักเที่ยง จะยืดเยื้อออกไปตามผู้รับบริการเป็นหลัก ข้าพเจ้าไม่รอช้า รีบไปทานข้าวกลางวันแบบง่าย ๆ มีข้าวสวยที่หุงค้างหม้อไว้ตั้งแต่มื้อเช้า กับแกงผักกาด น้ำพริกหนุ่ม ที่เหลือจากทานมื้อเช้าเช่นกัน พอประทังชีวิตไปได้อีกหนึ่งมื้อ พอทานข้าวกลางวันเสร็จ รีบกุลีกุจอ เอื้อมมือไปหยิบแฟ้มผู้ที่กักตัว มาบันทึก และสรุป เป็นข้อมูลที่ได้ลงไปเยี่ยมผู้กักตัวจากเมื่อวานนี้ แต่ด้วยภารกิจที่เร่งด่วน จึงยังไม่มีเวลาสรุป ได้แค่ลงบันทึกในแบบฟอร์ม ไล่จากคนที่ หนึ่ง สอง สาม .. ไปเรื่อย ๆ อารมณ์ และความรู้สึกเสมือนว่าได้ออกไปเยี่ยมผู้ที่กักตัวจริง ๆ อีกรอบหนึ่ง พอบันทึกมาถึงครอบครัวผู้กักตัว ที่มีทั้งแม่ ลูก และหลาน ๆ รวมจำนวน 7 คน ที่อาศัยอยู่ในกระต๊อบที่ไร่ ห่างจากหมู่บ้านออกไปพอสมควร ที่ อสม.สรุปมาให้ ช่างเป็นเหตุบังเอิญจริง ๆ จู่ ๆ ก็มีญาติครอบครัวนี้มาติดต่อ และแจ้งข่าวว่า “หมอครับ เด็กน้อย 1 ใน 6 ของผู้กักตัวเองที่อยู่ในไร่ มีอาการไข้ เจ็บคอ ผมจะต้องทำอย่างไรบ้างครับ”
ข้าพเจ้านิ่งไปสักครู่ มีความรู้สึกเป็นห่วงเด็ก จะมีอาการเจ็บป่วยมากหรือเปล่า พอได้คำตอบในใจแล้ว จึงแจ้งญาติไปว่า “เดี๋ยวหมอจะไปเยี่ยมเองนะ” ขณะที่ตอบไป ก็ยังไม่รู้หรอก ว่าจะไปยังไง และเส้นทางที่จะไปมีสภาพเป็นอย่างไร ซึ่งผู้ป่วยรายนี้ยังไม่เคยไปเยี่ยม พร้อมกันนั้นได้โทรประสาน อสม.ในเขตรับผิดชอบ และชวนไปเยี่ยมด้วยกัน อสม.ถามกลับมา “หมอไปไหวเหรอมันไกลมากนะ ต้องข้ามห้วย ข้ามเขา 2 ม่อน (เขา 2 ลูก) จึงจะถึงที่กักตัว”
คิดในใจ โหดขนาดนั้นเลยเหรอ และตัดสินใจอีกทาง พร้อมกับบอก อสม.ไปว่า “ไม่เป็นไร อสม.ไม่ต้องไปหรอก หมอจะไปกับพี่ผู้ช่วยเอง”พร้อมทั้งแจ้งให้ผู้ช่วยเหลือคนไข้ ที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เตรียมตัวเพื่อไปเยี่ยมผู้ป่วย พร้อมทั้งตัวข้าพเจ้าก็เตรียมความพร้อมในการป้องกันตัวเองให้มีความเสี่ยงน้อยที่สุด ต้องใส่ชุดให้รัดกุม ภายใต้อุณหภูมิ ขณะนั้น 38 องศาเซลเซียส ขึ้นไป
ข้าพเจ้าจัดแจงใส่หน้ากากอนามัย ตามด้วย Face shield ที่ประยุกต์จากวัสดุในพื้นที่ สวมรองเท้าบู๊ทสำหรับเตรียมข้ามลำห้วย เตรียมยาให้ผู้ป่วย ปรอทวัดไข้ ถุงมือ กว่าจะพร้อมเดินทางเวลาก็ล่วงเลยไปบ่ายโมงกว่า ๆ แล้ว เมื่อทุกอย่างพร้อม ก็นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ออกจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ไปหาคนไข้ทันที
เส้นทางจากโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล ไปยังสถานที่กักตัว เริ่มจากถนนค่อนข้างสะดวกสบาย เข้าสู่ถนนลูกรัง ความยากลำบากเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ บางช่วงเป็นเส้นทางที่แคบ และเขาสูงชัน บางช่วงมีลำห้วยขวางกั้นเส้นทาง ต้องเดินเท้าสลับกับนั่งซ้อนท้ายจักรยานยนต์หลายรอบ ข้าพเจ้าเหงื่อท่วมตัวภายใต้ชุดประยุกต์ที่ปิดมิดชิด หายใจภายใต้หน้ากากอนามัยที่ชุ่มด้วยเหงื่อ ช่างเป็นช่วงเวลาที่ยาวนาน คำว่า “เหนื่อยสายตัวแทบขาด” คงเป็นแบบนี้เอง
เราเพิ่งจะมองเห็นภูเขาสูงชันตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า คือจุดหมายปลายทางของเรา ข้าพเจ้าดีใจได้เดี๋ยวเดียว ต้องลงเดินอีกครั้ง ปล่อยให้ผู้ช่วยเหลือคนไข้ควบรถจักรยานยนต์ ขึ้นเนินที่แคบและชันไปรออยู่ตรงตัวเนินเขา สักครู่ได้ยินเสียงร้องตะโกนลงมาว่า “หมอครับ จะถึงละครับ พอเดินไหวไหม”
จะบอกว่าไม่ไหวก็กลัวเสียฟอร์ม ร้องตะโกนบอกไปว่า “ไหว ยังพอไหว” ทั้ง ๆ ที่เหนื่อยแทบจะขาดใจ มือข้างหนึ่งหิ้วถุงยา อีกข้างก็พยุงเกาะยึดกิ่งไม้ เถาวัลย์ หรือวัตถุตามข้างทาง ถึงกระนั้นก็ยังไถลลื่นไปหลายครั้ง ข้าพเจ้าพยุงตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ พอโผล่พ้นเนินเขา มองออกไปไกล ๆ เห็นกระต๊อบเล็ก ๆ อยู่ลิบ ๆ ความรู้สึกดีใจกลบความเหนื่อยล้าไปสิ้น
พอเข้าใกล้ในระยะสายตาที่มองเห็นชัดเจน สภาพกระต๊อบที่ปลูกอยู่กลางไร่ ไม่ได้มีความคงทนถาวร เสาทำด้วยไม้ขนาดท่อนแขน พอที่จะค้ำยันไม่ให้ล้มลงไปได้สักระยะเวลาหนึ่ง ฝาผนังทำจากกระสอบ และเศษผ้ากะลาเก่า ๆ พอบังลม และกั้นให้เป็นสัดส่วน ส่วนหลังคามุงด้วยหญ้าคาวางทับ ๆ เอาไว้ มีไม้ฟืนทับอีกที กันไม่ให้ลมพัดปลิว ผู้กักตัวที่พักในกระต๊อบคงร้อนหน้าดู
เมื่อถึงกระต๊อบ เห็นเด็ก ๆ อายุไล่เลี่ยกันราว ๆ 4 - 7 ปี จำนวน 4 คน แต่ละคนสวมเสื้อผ้าเก่า ๆ เนื้อตัวมอมแมม ยิ้มกว้าง ๆ มาพร้อมกับผู้หญิงมีอายุ 2 คน คงจะเป็นยายและแม่ของเด็ก ๆ ทุกคนสวมหน้ากากผ้า ออกมาต้อนรับ ทุกคนเหมือนจะดีใจมาก ที่มีหมออนามัยมาเยี่ยมถึงไร่ ที่ขอบตาข้าพเจ้ามีน้ำเอ่อล้นออกมาโดยไม่ทันรู้ตัว รู้สึกสงสารเด็ก ๆ ที่ต้องทนอยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนระอุแบบนี้ จนครบ 14 วัน
ข้าพเจ้ารีบทักทายเด็ก ๆ เพื่อกลบเกลื่อนน้ำตาที่ซึมออกมา “เล่นที่ไร่สนุกไหม” ทุกคนตอบเกือบพร้อมกันว่า “สนุก” ข้าพเจ้าไม่รอให้หายเหนื่อย ต้องรีบตรวจร่างกายคนไข้ทันที กลัวจะมืดค่ำในช่วงขากลับ พร้อมกับยึดหลักป้องกันการสัมผัส ยืนห่างกันช่วง 2 เมตร ให้ทุกคนล้างมือ ข้าพเจ้าเริ่มสอบถามความเป็นอยู่ ประเมินสภาพแวดล้อมทั่วไป ทุกคนบอกว่ามีความสุขกับการกักตัว ไม่ได้ลำบากอะไร สามารถอยู่ได้ครบ 14 วันแน่นอน
สำหรับเด็กน้อยที่ป่วย ข้าพเจ้าวัดไข้ได้เพียง 37.0 องศาเซลเซียล มีอาการเจ็บคอ ไอ มีน้ำมูก ไม่หอบเหนื่อย จึงให้ยาที่จัดเตรียมมา พร้อมทั้งบอกกับแม่ของเด็กไว้ว่า “หมอจะให้ยาแก้ไข้ ยาบรรเทาอาการไอ และยาลดน้ำมูก ให้กิน 3 วัน และจะติดตามอาการไข้ทุกวัน” ก่อนที่จะเดินทางกลับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล พร้อมกับผู้ช่วยเหลือคนไข้
กลับถึงที่พักช่วงเย็น ๆ ข้าพเจ้าก็หมดแรงพอดี คืนนั้นคงจะหลับเกือบสนิท ถ้าในใจไม่คิดเป็นห่วงเด็ก กลัวว่าจะมีอาการไข้ในเวลากลางคืน
ข้าพเจ้าได้ติดตามอาการไข้จากญาติที่ไปส่งอาหาร และน้ำดื่ม เป็นประจำทุกวัน พบว่าตลอดระยะเวลา 3 วัน เด็กไม่มีไข้ อาการไอ และมีน้ำมูก ทุเลาลง และหายเป็นปกติ ในวันที่สาม
ความรับผิดชอบ ความผูกพันกับชาวบ้านที่มีต่อกัน ทำให้ข้าพเจ้าลืมความเหน็ดเหนื่อย ความยากลำบากที่พบเจอในระหว่างการทำงาน เพียงเพื่ออยากให้ชาวบ้านเหล่านั้นได้รับบริการสุขภาพที่ดี มีความปลอดภัยจากความเสี่ยงที่โลกกำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้
ที่มา : ประชาสัมพันธ์จังหวัดน่าน