เปิด ปิด การใช้งานคุกกี้ของ ทรูฮิต (Truehits Cookies)



นพ.ชำนาญ วิเคราะห์การทำงาน “ลุงตู่” จากม้านอกสายตา กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ บนเวทีโลก


28 เม.ย. 2563, 14:55



นพ.ชำนาญ วิเคราะห์การทำงาน “ลุงตู่” จากม้านอกสายตา กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ บนเวทีโลก




 

วันนี้ (28 เม.ย.) นพ.ชำนาญ ภู่เอี่ยม อดีตหัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กส่วนตัว ชื่นชมการทำงานของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในการรับมือการระบาดของไวรัสโคโรนา หรือ โควิด-19 โดยระบุว่า หากเป็นการสอบ ก็จะได้เกรด A+ เพราะเปลี่ยนประเทศไทยจากม้านอกสายตา กลายเป็นซูเปอร์สตาร์ ในสายตาเวทีโลก โดยข้อความระบุว่า

“ผลการสอบโควิดฯไทยติดอันดับโลก”

ขณะนี้ ไม่ว่าประเทศใหญ่ ประเทศเล็ก
ไม่ว่าประเทศมหาอำนาจ ประเทศพัฒนา กำลังพัฒนา หรือ ด้อยพัฒนา ทุกประเทศได้รับข้อสอบเหมือนกันหมด
“ข้อสอบการแก้ปัญหาโควิด-19ภาคปฏิบัติ”

ประเทศไทยภายใต้การนำของนายกลุงตู่ ก็เป็นผู้เข้าสอบหนึ่งในจำนวนนั้น และถูกจัดอยู่ประเภท”ม้านอกสายตา”

เพียงพอต้นเริ่มสอบ ก็ได้รับการดูแคลนไม่เฉพาะคนนอกประเทศ คนในประเทศก็มีเป็นจำนวนไม่น้อย

เริ่มต้นลุงทำงานยากลำบากมาก ร่างกายผอม สีหน้าหมองคล้ำ เพราะขั้นตอนการทำงานถูกพันธนาการด้วยการเมือง ทั้งเรื่องของความรู้ความสามารถของคน ความจริงใจในการทำงาน การฉกฉวยมุ่งหาผลประโยชน์ใส่ตน ที่สำคัญคือการขาดเอกภาพและความรวดเร็วในการสั่งการ

ในช่วงกลางเดือนมีนาคม มีทั้งผู้เชี่ยวชาญ และ ผู้ที่ไม่เชี่ยวชาญ(แต่อยากจะเชี่ยวชาญ) ต่างดาหน้าออกมาให้ความเห็น พยากรณ์ว่า ผู้ติดเชื้อไทยจะเหยียบหลักหลายหมื่นคนกลางเมษายนอย่างแน่นอน เนื่องจากช่วงนั้นมีแนวโน้มผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง  จึงเกิดกระแสขอให้ลุงปิดบ้าน ปิดเมือง สูงขึ้น

ประกอบกับมีเรื่องการฉกฉวยหาผลประโยชน์ของนักการเมืองทุกฝ่าย เป็นที่น่าสังเกตว่า ในสถานการณ์วิกฤติของประเทศชาติทุกครั้ง นักการเมืองอาชีพ นอกจากไม่สามารถช่วยประเทศชาติได้แล้ว ยังซ้ำเติมให้สถานการณ์ของชาติเลวลงทุกครั้ง.

ลุงค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาจากกระดาษข้อสอบ แล้วก็ปรึกษาผู้ที่ควรปรึกษา และ ไม่ยอมปรึกษาผู้ที่ไม่ควรปรึกษา

 

แล้วลุงก็บรรจงประยุกต์แนวคิดของลุง ผสมกับข้อเสนอแนะของผู้รู้จริง ไว้ดังนี้

1.ต้องกลับไปสู่คราบเก่า”นักเผด็จการที่มีคุณธรรม”(งานที่ถนัด)โดย ประกาศ พรบ.ฉุกเฉิน....ฝืนใจรับบทเป็นอัศวินม้าขาวบัญชาการรบด้วยตนเอง

2.ต้องทำการ”กระชับพื้นที่ของโควิด” คือ ปิดบ้าน ปิดเมืองโดยด่วน.
โดยการกระชับพื้นที่เป็นรายจังหวัด มอบให้พ่อเมืองรับผิดชอบดูแลตัวเลขผู้ติดเชื้อ โดยลุงถือว่า ”โรคติดต่อ ถ้าคนไม่ติดต่อ ก็จะไม่มีการติดต่อ”

3.ต้องลดขั้นตอนการทำงานให้เหมาะสม(Mean and Lean)
เน้นการแก้ปัญหาให้ตรงจุดและรวดเร็ว(Focus and Fast)

4.ต้องใช้มืออาชีพโดยไม่ผ่านคนกลาง ใช้คนให้เหมาะสมกับงาน ไม่ใช้คนตามมารยาท
ต้องสลัดนักการเมืองออกไปชั่วคราว

ต้องให้ข้าราชการมืออาชีพ และ ผู้รู้จริงมีอิสระในการทำงานอย่างแท้จริง
ต้องใช้ทีมแพทย์และสาธารณสุขที่ทรงคุณค่า รวมทั้ง ใช้อาสาสมัครสาธารสุขที่มีเครือข่ายอยู่ทั่วประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ต้องตัดการเอาหน้า หาเสียง หาประโยชน์ทางการเมืองออกไปให้หมดทุกกระทรวง
(แม้จะทราบว่า นักการเมืองอึดอัด และ ด้อยความสำคัญลงบ้าง แต่ลุงตู่ต้องมุ่งทำเพื่อชาติเหนือสิ่งอื่นใด)

5.ต้องใช้ความเป็นทหารอาชีพ ซึ่งเคยผ่านหลักสูตรเสนาธิการทหาร ในการวางแผนการรบเพื่อชัยชนะอย่างรัดกุม เป็นขั้นเป็นตอนอย่างกล้าหาญ

6.เน้นบรรยากาศความร่วมมือ ความมีวินัย และ จิตสำนึกต่อส่วนรวมของคนในชาติแบบไทยๆ

หลังจากได้มีมาตรการใหม่ออกไปไม่นาน ก็มีผู้คนติดตามผลงานของลุงตู่ ซึ่งถ่ายทอดโดยคุณหมอทวีศิลป์ วิษณุโยธิ ด้วยจิตใจที่จดจ่อ ราวกับดูหนังซีริ่ย์เป็นประจำทุกวัน 

ผู้คนสนใจตัวเลขผู้ติดเชื้อที่แชร์ออกสื่อแต่ละวัน ทำให้การเก็บตัวอยู่ที่บ้านมีชีวิตชีวาขึ้น เพราะบางบ้านเล่นพนันขันต่อกันในครอบครัว ทานตัวเลขผู้ติดเชื้อว่า พรุ่งนี้จะสูงหรือต่ำกว่า15เป็นต้น (นี่คือการเริ่มต้นวิถีชีวิตแบบThai New Normal)

เพื่อให้การติดตามผลงานของลุงตู่มีความสนุก และ เข้าใจง่ายขึ้น ผมจะขอสรุป(ตามความเข้าใจของผม)ดังนี้....
-มาตรการของลุง จะเริ่มจากเบาไปหาหนัก...

-เริ่มต้นช่วงแรก: สถานการณ์ไม่เร่งด่วนนักและมีแรงต่อต้านน้อย ลุงจะเริ่มด้วยการให้วิสัยทัศน์ และ ขอความร่วมมือในวงกว้าง(Visionary,Extensive Participation)

-พอเริ่มมีความเร่งด่วน ลุงจะใช้วิธีการจูงใจ และ เจาะกลุ่มบุคคลเป้าหมายเพื่อให้ได้รับความร่วมมือ(Persuasive,Focus Participation)

-พอเริ่มมีแรงต่อต้านสูงแต่ไม่เร่งด่วนนัก ลุงก็เพิ่มความเข็มข้นในการใช้อำนาจ(Coercive)

-และพอสถานการณ์ทั้งเร่งด่วนและมีแรงต่อต้านสูง ลุงก็จะใช้ความเด็ดขาดสั่งการ(Dictatorial)ในทันที

ทั้งนี้ มาตรการของลุงจะผันแปรไปตามปัจจัย ความเร่งด่วน(Urgency) และ แรงต่อต้าน(Resistance)....


ความร่วมมือของคนในชาติพุ่งกระฉูดขึ้นอย่างรวดเร็ว
วินัย และ น้ำใจของคนร่วมชาติดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา

มีความเห็นบางท่านบอกว่าน่าจะมาจากความกลัวตายของประชาชน ซึ่งก็เป็นความจริงส่วนหนึ่ง แต่ถ้าความกลัวตายนั้นไม่มีการนำที่ดี ไม่มีระบบที่ดี ก็จะเกิดบรรยากาศของ “ความโกลาหล” “การเอาตัวรอด” และ “ตัวใครตัวมัน” (เหมือนตอนเวียตนามใต้แตกทัพแพ้สงคราม)

แต่ถ้ามีการนำที่ดี มีระบบที่ดี จะทำให้ทุกคนอยู่รอดปลอดภัย มีบรรยากาศแห่งความน้ำใจช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ที่สำคัญคือ มีความสามัคคี มีความรับผิดชอบต่อสังคมร่วมกัน ไม่แพร่เชื้อโรคสู่สังคมได้โดยง่าย

อีกเหตผลหนึ่งที่ทำให้เกิดความร่วมมือที่ดีขึ้น ก็คือมีการสื่อสารที่ดีขึ้น ตรงประเด็น เข้าใจง่าย ไม่มากขั้นตอน มีการใช้ผู้สื่อสารที่มีทักษะ และรู้จริง

เป็นที่น่าสังเกตว่า ความสามัคคีของคนในชาติ ก็ดูเหมือนจะดีขึ้นตามไปด้วยอย่างมาก.....
(ทำให้นึกถึงบรรยากาศตอนน้องหมูป่าติดถ้ำ)

ประเทศไทย ค่อยๆเปลี่ยนจากม้านอกสายตา กลายเป็นSuper Starด้านการต่อสู้โควิดของสังคมโลกไปโดยปริยาย ลุ่งตู่มีรัศมีจับเปล่งประกาย

คำชื่นชมจากทั่วโลกหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย ชื่อประเทศติดปากชาวโลก ประเทศถูกยกย่องเป็นตัวอย่างที่ดี ทั้งระบบการแพทย์ สาธารณสุข ระบบริหารจัดการ ตลอดจนความมีวินัย และ ความร่วมมือของประชาชน

 



ลุงเหนื่อยยากเพียงใด ก็มิเคยปริปาก
ไม่ยอมออกสื่อบ่อยครั้งเหมือนเช่นเคย

“ผลงานให้โฆษกพูด ส่วนลุงพูดด้วยผลงาน”

ลุงได้เลือกโฆษกได้อย่างสุดยอด ประเภท “all in one” ที่เป็นได้ทั้งโฆษก เป็นได้ทั้งแพทย์ เป็นได้ทั้งจิตแพทย์ เป็นได้ทั้งครูสอนสุขศึกษา วินัย และ จิตสำนึกของคนในชาติ จนเดี๋ยวนี้ มีแม่ยกคุณหมออยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ใครไม่รู้จักคุณหมอ ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ถือว่าตกยุค

ถ้าดูผลงานภายใต้การนำของลุง ณ.เวลานี้ก็ถือว่าทำได้ดีมากเกินความคาดหมาย ประเมินจากคำชมของสังคมโลก ถือว่าสุดยอด แต่หนังซีรี่ย์ต้องดูกันยาวๆให้ถึงตอนจบ ยังต้องเดินทางอีกยาวไกล อุปสรรคขวากหนามข้างหน้ายังอีกเหลือคณานับ

การตัดสินใจปลดล็อก คลายล็อกนั้น คือปัญหาใหญ่ของลุง ซึ่งต้องอยู่บนพื้นฐานความปลอดภัยด้านสุขภาพของประชาชนมาเป็นลำดับต้น
จะต้องไม่ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันทางเศรษฐกิจ และจะต้องไม่ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจากทางการเมืองใดๆ เพราะถ้าตัดสินใจผิดแม้แต่เพียงเล็กน้อย อาจจะส่งผลให้ไม่มีโอกาสกลับมาได้อีกเลย

ความปลอดภัยทางสุขภาพก็เป็นเรื่องน่าห่วง ปากท้องของประชาชน ก็เป็นเรื่องน่าห่วงไม่น้อย เราเชื่อว่าลุงตู่คงจะสร้างความสมดุลย์ ณ.จุดนี้ได้อย่างเหมาะสม

ผลการสอบข้อสอบโควิดทั่วโลกครั้งนี้ คือ บทพิสูจน์คุณภาพของผู้นำ คุณภาพของระบบการแพทย์-สาธารณสุข และ คุณภาพของคนในชาติ

ดังนั้น การแพ้-ชนะโควิด-19ครั้งนี้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการแพทย์ สาธารณสุขแต่เพียงอย่างเดียว
แต่ปัจจัยที่เป็นกุญแจแห่งความสำเร็จ(Key of Success Factors)ครั้งนี้ คือ การยืนระยะต่อกรกับโควิด อย่างมีวินัย มีน้ำใจ กล้าหาญ อดทนอดกลั้น มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนในชาติ และ ภายใต้การนำที่ดีมีคุณภาพ 

สรุป: ช่วงนี้ ถ้ามองในด้านภาวะผู้นำ บอกได้คำเดียวว่า ลุงตู่มีบารมีราศรีจับที่สุด มีผลงานที่จับต้องได้ที่สุด ไม่ใช่แค่ระดับประเทศไทย แต่ไปไกลระดับโลกแล้ว 
ลุงสอบผ่านข้อสอบข้อนี้ไปได้อย่างสบายระดับเกรด เอ บวก

”การทำความดี มีคนเห็น ไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศ”

(ขอเรียนว่า ที่เขียนมาทั้งหมดนี้มิใช่เพื่อเชียร์ลุงตู่ เพียงแต่ต้องการชื่นชมคนทำดี เหมือนที่สังคมโลกเขาชื่นชมกันเท่านั้น)


ขอขอบคุณ

ข้อมูล :Chamnan Bhu-eiam






Recommend News





MOST POPULAR


























©2018 ONBNEWS. All rights reserved.