วันที่ 11 พ.ค.63 ผู้สื่อข่าว ONB news รายงานว่า ได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้าน ต.บ้านยาง อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ ว่า อยากจะเรียกร้องขอความเป็นธรรมกับหน่วยงานที่รับผิดชอบ และอยากจะให้เป็นบทเรียนกับหลายๆฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่อยากให้เรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นอีกในกระบวนการยุติธรรมในเมืองไทย จากการตรวจสอบผู้ร้องเรียน เป็นชาว ต.เมืองยาง อ.ชำนิ จ.บุรีรัมย์ พบนายบุญเลี้ยง อายุ 67 ปี และนางสมมารถ  อายุ 45 ปี สองสามีภรรยาอาศัยอยู่บ้านปูนชั้นเดียว กับแม่นางสมมารถ อายุ 80 ปี รวม 3 คน 

โดยนายบุญเลี้ยง เล่าว่า ตนกับภรรยามีอาชีพซื้อขายวัว-ควาย มานานกว่า 30 ปี มีลูก 2 คนทำงานอยู่ต่างจังหวัด เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2562 ตนกับภรรยา ขับรถกระบะไปบรรทุกควายที่ซื้อไว้ที่ ต.สวายจีก อ.เมือง บุรีรัมย์ กลับมาถึงคอกควายที่เช่าที่ไว้ต่างหมู่บ้าน

 

 

จากนั้นเวลาประมาณ 14.00 น.วันเดียวกัน ได้มีตำรวจชุดสืบสวน สภ.ชำนิ อ.ชำนิ เข้ามาแสดงหมายจับตนกับภรรยา ระบุเป็นผู้ต้องหาขโมยควายของชาวบ้านจำนวน 3 ตัว ตนกับภรรยาก็ไปโดยไม่ขัดขืนอย่างสบายใจ เพราะไม่ได้ทำ เมื่อไปให้ปากคำกับพนักงานสอบสวน ตนก็ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ขณะตำรวจยืนยันจากพยานบุคคล 7 ปากว่าตนเป็นคนขโมยไปจำนวน 3 ตัวจริง จึงหยุดให้การต่อเพื่อขอไปให้ปากคำในชั้นศาล

 

วันรุ่งขึ้นตำรวจก็ส่งตัวไปฟ้องศาลจังหวัดนางรอง อ.นางรอง พร้อมค้านประกันตัวโดยอ้างว่า”เป็นบุคคลอันตราย”แล้วส่งตัวไปฝากขังที่เรือนจำนางรอง ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา จนกระทั่งเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2562 ศาลพิจารณาว่าตนบริสุทธิ์ สั่งยกฟ้อง แล้วปล่อยตัวกลับบ้าน และต่อมาเมื่อเดือนเมษายน 63 ได้รับเอกสารจากศาลจังหวัดนางรอง ยืนยันว่าตนกับภรรยาเป็นผู้บริสุทธิ์ จึงออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมกับสื่อ

 

นายบุญเลี้ยง กล่าวด้วยว่า ระหว่างที่ตนกับภรรยาจองจำอยู่ในเรือนจำ มีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ นอนร้องไห้ทุกคืน เพราะสิ่งที่ถูกกล่าวหาไม่เป็นความจริง ตนไม่ได้เป็นกระทำ และไม่มีการสืบสวนสอบสวนอย่างจริงจัง แต่ถูกใส่ความจนติดคุก นอกจากนี้อาชีพของตน ซึ่งมีคนนับหน้าถือตามาก่อน กลับกลายเป็นไม่มีใครกล้าคบหา เพราะถูกตราหน้าว่าเป็นหัวขโมยไปแล้ว รถกระบะที่มีอยู่ก็ถูกยึดไป ข้าวของที่คอกวัวเดิม ก็ถูกคนขโมยไปจนหมด เพราะไม่มีใครดูแล ตอนนี้เป็นคนไร้อาชีพ ไม่รู้จะไปหากินแบบไหน เนื่องจากอาชีพที่ถนัดก็หมดอนาคตแล้ว