มท.2 ขอบคุณ ผู้ว่าฯสุราษฎร์ฯ-จนท.ทุกฝ่าย ผนึกกำลังกวาดล้างคอกหอยแครงเถื่อน
1 มิ.ย. 2563, 18:01
วันนี้ ( 1 มิ.ย.63 ) นายนิพนธ์ บุญญามณี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.2) เปิดเผยว่า หลังจากที่ ตน พร้อมด้วย ผวจ.สุราษฎร์ธานี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ลงเรือเมื่อวันที่ 24 พค. 63. เพื่อตรวจการสำรวจแนวเขตแหล่งลูกหอยแครง บริเวณอ่าวบ้านดอน (ปากแม่น้ำตาปี) อำเภอเมืองสุราษฎร์ฯ พร้อมทั้งรับเรื่องร้องเรียนจากกลุ่มราษฎรในพื้นที่ ถึงการถูกข่มขู่จากผู้มีอิทธิพล กระทบต่อการประกอบอาชีพของชาวประมงพื้นบ้านและประมงชายฝั่ง และได้มอบหมายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย
ซึ่งในเรื่องดังกล่าว ตนได้ติดตามเรื่องเพื่อแก้ไขปัญหานี้มาตลอดระยะหลังจากการลงพื้นที่ฯ และต่อมาเมื่อวันที่ 27 พ.ค. 63 นายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมด้วย พลโท สิทธิพร มุสิกะสิน แม่ทัพน้อยที่ 4 ก็ได้สนธิกำลังร่วมกันกับ จนท.จาก สนง.ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 4 นายอำเภอเมืองสุราษฎร์ฯ กว่า 300 นาย จัดการรื้อถอนคอกหอยแครงเถื่อนในพื้นที่อำเภอเมืองและอำเภอพุนพินจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่บุกรุกอ่าวบ้านดอน ที่มีพื้นที่ตลอดแนวชายฝั่งของจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยได้ดำเนินการไปแล้วกว่า ร้อยละ 90
ซึ่งในจัดการปัญหาฯนี้ นายนิพนธ์ รมช.มท. กล่าวว่า "ในนามรัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวขอบคุณ นายวิชวุทย์ จินโต ผวจ.สุราษฎร์ แม่ทัพน้อยที่ 4 พล.ท.สิทธิพร มุสิกะสิน ตลอดจน จนท.ทุกท่าน จากหน่วยงานต่าง ๆ ได้แก่ จนท.กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งฝ่ายปกครอง ทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ที่ได้ช่วยกันจัดการปัญหาความทุกข์ร้อนของชาวประมงพื้นบ้าน ได้กว่า 1 หมื่นราย และขอย้ำว่า รัฐบาลให้ความสำคัญเรื่องปากท้องของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่ประกอบอาชีพหารายได้อย่างสุจริตในระดับรากหญ้า และอาชีพประมงพื้นบ้าน ยังถือเป็นหนึ่งแหล่งอาหารที่หล่อเลี้ยงคนไทยทั้งประเทศ นอกจากนี้ รัฐบาลยังเอาจริงเอาจังกับการจัดการผู้มีอิทธิพลที่ข่มขู่และหากินบนทุกข์ร้อนของชาวบ้าน โดยจะต้องทำให้ทุกคนปฎิบัติตามกฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง อีกด้วย"
นายนิพนธ์ฯ รมช.มท. ยังได้เพิ่มเติมอีกว่า "ขอชื่นชมการทำงานของ ส.ส.ในพื้นที่ ที่ได้นำเสนอปัญหาและนำตนและคณะลงพื้นที่เพื่อสร้างความชัดเจน ซึ่งตนมองว่า จิตวิญญาณของการทำหน้าที่ผู้แทนราษฎรนั้นจะต้องรู้ซึ้งถึงทุกข์ของชาวบ้าน และต้องประสานการช่วยเหลือให้เกิดผลทันที อย่างกรณีนี้ก็เช่นเดียวกัน ส.ส.ในเขตจังหวัดสุราษฎร์ ก็ได้ทำหน้าที่ได้อย่างดี สะท้อนให้เห็นว่า ปัญหาที่จัดการไปแล้วกว่าร้อยละ 90 นี้ จะต้องนำไปสู่การตั้งกรรมาธิการศึกษาเพื่อหาแนวทางแก้ไขที่ยั่งยืน เพราะเป็นเรื่องที่กระทบและส่งผลหลายด้านทั้ง ด้านรายได้อาชีพของชาวประมงพื้นบ้าน ด้านสิ่งแวดล้อม ด้านการปรับปรุงระเบียบกฎหมาย เป็นต้น ทั้งหมดนี้ถือเป็นสิ่งที่ดีที่ผู้แทนราษฎรได้ทำหน้าที่เพื่อพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง"